วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เชื้อเพลิงธรรมชาติ

เชื้อเพลิงธรรมชาติ แบ่งเป็นถ่านหินและปิโตรเลียมดังนี้
            1. ถ่านหิน คือหินตะกอนชนิดหนึ่ง เป็นแร่เชื้อเพลิง สามารถติดไฟได้ มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีดำ มีความเปราะ รอยแตกเว้าคล้ายก้นหอย มีทั้งชนิดผิวมัน และผิวด้าน มีน้ำหนักเบา ถ่านหินประกอบด้วยธาตุที่สำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) ไนโตรเจน (N) และออกซิเจน (O) นอกจากนี้ยังมีธาตุอื่นหรือสารอื่นเจือปนอีกเล็กน้อย เช่น กำมะถัน ถ่านหินที่มีจำนวนคาร์บอนสูงและมีธาตุอื่นต่ำ เมื่อนำมาเผาจะให้ความร้อนมากถือว่าเป็นถ่านหินคุณภาพดี
การเกิดถ่านหินต้องอาศัยปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่จะทำให้เกิดการสะสมตัวของ พืช กล่าวคือต้องมีสภาพอากาศที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช บริเวณสะสมตัวต้องเป็นน้ำนิ่ง และมีปริมาณแก๊สออกซิเจนจำกัด เพื่อไม่ให้เกิดการเน่าสลายของพืชที่จะกลายเป็นถ่านหิน และปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่เหมาะสม ทำให้เกิดความกดดันและความร้อนที่จะทำให้ซากพืชแปรสภาพเป็นถ่านหิน
เมื่อแยกประเภทของถ่านหินตามลำดับชั้นการเกิด แยกได้ 5 ประเภท คือ
            1) พีต (peat) เป็นชั้นแรกในกระบวนการเกิดถ่านหิน ประกอบด้วยซากพืช ซึ่งบางส่วนได้สลายตัวไปแล้วสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
            2) ลิกไนต์ (lignite) มีซากพืชอยู่เล็กน้อย มีความชื้นมาก ใช้เป็นเชื้อเพลิง
            3) ซับบิทูมินัส (subbituminous) มีสีดำ เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า
            4) บิทูมินัส (bituninous) เป็นถ่านหินเนื้อแน่น แข็ง ประกอบด้วยชั้นถ่านหินสีดำมันวาว ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมและการผลิตกระแสไฟฟ้า
            5) แอนทราไซต์ (anthracite) เป็นถ่านหินที่มีลักษณะดำเป็นเงา มันวาวมาก มีรอยแตกเว้าแบบก้นหอย ติดไฟยาก เมื่อเผาไหม้จะให้ค่าความร้อนสูง ใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมต่างๆ

การใช้ประโยชน์จากถ่านหิน มีดังต่อไปนี้
            1. ใช้เป็นเชื้อเพลิง เช่น เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า การถลุงโลหะ การผลิตปูนซีเมนต์ บ่มใบยาสูบ อุตสาหกรรมผลิตอาหาร อุตสาหกรรมที่ต้องใช้หม้อน้ำร้อนในกระบวนการ
            2. ใช้ในการทำถ่านสังเคราะห์ เป็นสารดูดกลิ่น ใช้ในเครื่องกรองน้ำ และเครื่องใช้ต่างๆ ที่ต้องการประโยชน์ด้านการดูดซับกลิ่น
            3. ใช้ทำคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงแต่มีน้ำหนักเบา เช่น การทำเครื่องร่อน การทำอุปกรณ์กีฬา เช่น ด้ามไม้กอล์ฟ ไม้เทนนิส ไม้แบดมินตัน

แหล่งถ่านหินในประเทศไทย
            แหล่งถ่านหินในประเทศไทย พบถ่านหินทุกชนิด แต่มีมากที่สุดคือถ่านหินลิกไนต์ และซับบิทูมินัส ซึ่งพบมากที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง (เหมืองแม่ทาน) อำเภองาว จังหวัดลำปาง ปริมาณถ่านหินส่วนใหญ่ในประเทศไทย นำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
            2. ปิโตรเลียม หมายถึงสารไฮโดรคาร์บอนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลัก 2 ชนิดคือ คาร์บอน (C) และไฮโดรเจน (H) โดยอาจมีธาตุชนิดอื่น เช่น กำมะถัน (S) ออกซิเจน (O) ไนโตรเจน (N) ปนอยู่ด้วย ปิโตรเลียมเป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของปิโตรเลียม ความร้อน และความกดดันของสภาพแวดล้อมที่ปิโตรเลียมถูกกักเก็บ
ปิโตรเลียมเกิดจากสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อนที่ตาย แล้วถูกย่อยสลายภายใต้อุณหภูมิและความกดดันสูงภายใต้ชั้นเปลือกโลก
สารอินทรีย์ในซากพืชซากสัตว์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ที่มีโมเลกุลใหญ่ เรียกว่า "เคโรเจน" หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นปิโตรเลียม
            - ปิโตรเลียมในสถานะของเหลว เรียกว่า "น้ำมันดิบ"
            - ปิโตรเลียมในสถานะแก๊ส เรียกว่า "แก๊สธรรมชาติ"
            - ปิโตรเลียมที่มีสถานะแก๊ส เมื่ออยู่ในแหล่งกักเก็บและเมื่อขึ้นมาสู่ผิวโลกจะมีสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า "แก๊สธรรมชาติเหลว"
ปิโตรเลียมจากแหล่งกำเนิดจะไหลไปตามช่องแตก รอยแยก และรูพรุนของหินไปสู่การสะสมตัวในแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม
แหล่งกักเก็บปิโตรเลียม มีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ
            1) มีชั้นหินที่มีรูพรุน โพรง หรือช่องแตก ที่สามารถให้ปิโตรเลียมอยู่ได้ เช่น หินกรวดมน หินทราย หินปูน
            2) มีชั้นหินเนื้อละเอียดปิดกั้นด้านบน ไม่ให้ปิโตรเลียมเล็ดลอดผ่านออกไปได้
รูปแสดงแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมโดยรอยเลื่อน
รูปแสดงแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมในชั้นหิน
ตารางแสดงการใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียม
ชื่อของส่วนต่างๆ
จุดเดือด ( ํC) 
สถานะที่อุณหภูมิห้อง
ประโยชน์
แก๊ส 
ต่ำกว่า 40
แก๊ส 
ใช้เป็นแก๊สหุงต้ม
น้ำมันเบนซิน 
40 -180 
ของเหลว 
ใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์
น้ำมันก๊าด 
180 -230 
ของเหลว 
ใช้เป็นเชื้อเพลิงเครื่องบินและใช้จุดตะเกียง
น้ำมันดีเซล 
230-305
ของเหลว 
ใช้เป็นเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล
น้ำมันเตาใส 
230-305
ของเหลว 
ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม
น้ำมันหล่อลื่น 
305-405 
ของเหลว 
ใช้ทำน้ำมันหล่อลื่น
พาราฟิน 
405-515 
ครึ่งแข็งครึ่งเหลว
ใช้ทำขี้ผึ้งพาราฟิน วาสลิน
ยางมะตอย
สูงกว่า 515 
ของแข็ง 
ใช้ราดถนน
แหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทย มีดังนี้
            1. แหล่งน้ำมันฝาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
            2. แหล่งแก๊สบริษัทยูโนแคล ประกอบด้วยแหล่งแก๊สเอราวัณ บรรพต สตูล ปลาทอง ปลาแดง กะพง ฟูนาน จักรวาล สุราษฎร์ ปลาหมึก โกมินทร์ และไพลิน ซึ่งอยู่บริเวณอ่าวไทย
            3. แหล่งน้ำมันสิริกิตติ์ อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
            4. แหล่งแก๊สน้ำพอง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
            5. แหล่งน้ำมันกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แหล่งน้ำมันอ่างทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
            6. แหล่งนางนวล เป็นแหล่งน้ำมันดิบในอ่าวไทย อยู่นอกชายฝั่งจังหวัดชุมพร
            7. แหล่งบงกช เป็นแหล่งแก๊สธรรมชาติในอ่าวไทย
            8. แหล่งน้ำมันวิเชียรบุรีและศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์
            9. แหล่งทานตะวันและเบญจมาศเป็นแหล่งน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย

ดินกรด ดินด่าง ดินเป็นกลาง และดินเกลือ

            ดินมีสภาพความเป็นกรด เป็นด่างและเป็นเกลือต่างกัน ดังนี้
            1. ดินกรด (acid soil) เป็นดินที่มีระดับ pH ต่ำกว่า 7 ดินกรดเกิดจากสิ่งต่อไปนี้
                 1) ฝนกรด (น้ำ + คาร์บอนไดออกไซด์)
                 2) อินทรียสารมีมาก
                 3) การใส่สารเคมีในการปลูกพืช
                 4) การออกซิเดชันของไพไรต์ (FeS2)
            ดินกรดแก้ไขได้โดย
                 1) ชะละลายดินปรับระดับ pH ให้สูงขึ้น
                 2) ใส่หรือเติมปูนขาว
                 3) ใส่น้ำท่วมขังในบริเวณที่เป็นกรด
                 4) ใส่ MnO2 ลดความเป็นพิษของเหล็ก
                 5) ใส่ปุ๋ยฟอสเฟต
            2. ดินด่าง (alkaline soil) เป็นดินที่มีระดับ pH สูงกว่า 7 ดินด่างเกิดจากสิ่งต่อไปนี้
                 1) สภาพความแห้งแล้ง
                 2) ระดับน้ำใต้ดินสูงขึ้นมาก
                 3. ดินเป็นกลาง (neutral soil) เป็นดินที่มีระดับ pH เท่ากับ 7
                 4. ดินเกลือ (salt affected soil) ดินเกลือเป็นดินที่มีเกลืออยู่ในปริมาณที่มาก โดยเกลือจะมาจากน้ำทะเล เกลือจากการสลายของหินเกลือจากใต้ดินระดับลึกขึ้นมาสู่ด้านบน เกลือที่มากับน้ำชลประทาน บริเวณที่เป็นดินเกลือจะมีคราบน้ำเกลือสีขาว ไม่มีพืชขึ้นบริเวณที่มีเกลือมาก ดินเกลือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดินเค็ม
ดินเกลือแก้ไขได้ดังนี้
                 1) ใส่อินทรียสาร
                 2) ใช้น้ำละลายเกลือออกจากดินแล้วนำไปทิ้ง
                 3) ปลูกพืชบำรุงดิน
ตารางแสดงสภาพความเป็นกรดและความเป็นด่างของดิน
ระดับ pH
สภาพกรด หรือสภาพด่างของดิน
น้อยกว่า 3.5
3.5 - 4.5
4.6 - 5.0
5.1 - 5.5
5.6 - 6.0
6.1 - 6.5
6.6 - 7.3
7.4 - 7.8
7.9 - 8.4
8.5 - 9.0
มากกว่า 9.0 
กรดรุนแรงมากที่สุด (uttra acid)
กรดรุนแรงมาก (extramely acid)
กรดจัดมาก (strongly acid)
กรดจัด (strongly acid)
กรดปานกลาง (moderately acid)
กรดเล็กน้อย (slightly acid)
กลาง (neutral)
ด่างเล็กน้อย (slightly alkaline)
ด่างปานกลาง (moderately alkaline)
ด่างจัด (strongly alkaline)
ด่างจัดมาก (very strongly)
การปรับปรุงคุณภาพของดิน
            ดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารของพืช เมื่อนำมาปลูกพืชหรือนำพืชไปปลูก พืชจะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดีคุ้มค่า คุ้มราคาที่ได้ลงทุนไป ในกรณีที่ไม่ได้ปลูกพืชเพื่อการค้าขาย ดินที่ดีอุดมสมบูรณ์ก็จะทำให้ต้นไม้โดยทั่วไปเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ทำให้มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ในทางตรงข้ามถ้าดินไม่ดี หรือเสื่อมสภาพลงเราจะทำอย่างไรเพื่อรักษาคุณภาพของดิน การปรับปรุงคุณภาพของดินกระทำได้ดังนี้
            1. ควรจดความบกพร่องของดินเพื่อทราบจุดที่จะแก้ไข
            2. ถ้าดินเป็นดินกรด ดินด่าง ก็จัดการแก้ไขโดยปรับระดับความเป็นกรดและเบส
            3. ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อให้ดินได้มีโอกาสพักสลับกันไป
            4. ใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และอินทรีย์สารอื่นๆ เพื่อเพิ่มแร่ธาตุ ความร่วนซุยให้เกิดในเนื้อดิน

คุณภาพน้ำ

            คุณภาพของน้ำนั้นมีสิ่งมีชีวิตได้ดังนี้
            1. dissolved oxygen (DO) เป็นการตรวจปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำ ออกซิเจนมีสถานะปกติเป็นแก๊ส มีอยู่ในอากาศ 20% โดยปริมาตร ละลายน้ำได้เล็กน้อย ไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำ การที่ออกซิเจนละลายน้ำจะมีผลจากออกซิเจนในบรรยากาศ ออกซิเจนที่เกิดจากการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำ ความกดดันของอากาศ โดยทั่วไปปริมาณออกซิเจนในน้ำที่เหมาะกับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้ำคือ 5 มิลลิกรัม/ลิตร แต่ถ้าต่ำกว่า 3 มิลลิกรัม/ลิตร ถือว่าไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้ำ
            2. biochemical oxygen demand (BOD) เป็นการตรวจปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ไปในการย่อยสลายอินทรียสารในน้ำ ค่าบีโอดีตามมาตรฐานสากล จะวัดที่อุณหภูมิ 20 ํC ในเวลา 5วัน
ตารางแสดงค่า BOD ที่บ่งชี้คุณภาพของน้ำ
คุณภาพของน้ำ
ค่า BOD 5 วัน (มิลลิกรัม/ลิตร)
1. น้ำบริสุทธิ์
2. น้ำสะอาดมาก
3. น้ำสะอาด
4. น้ำสะอาดพอประมาณ
5. น้ำไม่สะอาด
6. น้ำสกปรก
0
1
2
3
5
10
การทำน้ำให้สะอาดดื่มได้
            ตามธรรมชาติน้ำจะมีสิ่งเจือปนอยู่ตามสมควร ซึ่งทำให้ไม่สามารถนำมาบริโภคได้ ต้องมีการจัดการเพื่อทำความสะอาดน้ำ ตัวอย่างการทำน้ำให้สะอาด เช่น
            1. การทำให้เกิดการตกตะกอน ใช้กับน้ำที่มีสิ่งแขวนลอยอยู่ในน้ำที่เป็นดิน เช่น น้ำในคลอง ในแม่น้ำต่างๆ น้ำจะมีความขุ่น เราจะใช้สารส้มแกว่งกวนน้ำแล้วตั้งทิ้งไว้ ตะกอนจะจับกันแล้วตกลงไปอยู่ที่ก้นภาชนะ เราก็จะได้น้ำที่ใสสะอาด
            2. การกรอง ใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติในการกรองต่างกันไป ก็จะได้น้ำที่มีความสะอาดต่างกันไป เช่น
                 - การกรองด้วยผ้ากรองก็สามารถกรองเศษวัตถุที่มีขนาดใหญ่ออกจากน้ำได้ แต่วัตถุขนาดเล็กยังกรองไม่ได้ น้ำมีความสะอาดในระดับหนึ่ง ถ้ากรองด้วยกระดาษกรองก็จะสามารถกรองเศษวัสดุที่มีขนาดเล็กมากๆ ได้ น้ำก็จะมีความสะอาดมากขึ้นมาอีก
                 - การกรองด้วยเครื่องกรองอย่างง่ายหรือแบบธรรมชาติจะเป็นเครื่องกรองที่มีชั้นของทรายละเอียด ทรายหยาบ ถ่านไม้ กรวดละเอียด กรวดหยาบ และสำลีหรือวัสดุที่มีคุณสมบัติคล้ายสำลี เครื่องกรองที่สามารถกรองได้ในระดับหนึ่ง
- การกรองด้วยเครื่องกรองที่มีตัวกรองซึ่งเป็นไส้กรองที่ทำจากเซรามิก หรือใช้ถ่านกัมมันต์ เพื่อกรองและดูดกลิ่น ดูดสี น้ำที่กรองด้วยเครื่องกรองแบบนี้จะมีความสะอาดมากระดับดื่มกินได้เลย
            3. การกลั่น เป็นวิธีการทำน้ำให้สะอาดที่จะได้น้ำที่มีความสะอาดมากที่สุด
รูปแสดงเครื่องกรองน้ำ
มลพิษทางน้ำ
            มลพิษทางน้ำ (water pollution) เป็นสิ่งที่ทำให้น้ำมีสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นปกติ ทำให้มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นไม่สามารถนำมาใช้ได้และมีอันตรายต่อสิ่งที่เกี่ยวข้อง สาเหตุของสิ่งที่ทำให้เกิดมลพิษทางน้ำ เช่น
            1. น้ำจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ (industrial wastewater) ได้แก่ น้ำล้างเครื่องจักร น้ำล้างวัตถุดิบในการผลิต น้ำใช้หล่อระบายความร้อนของเครื่องจักร น้ำใช้หล่อเย็น (cooling water)
            2. น้ำจากพื้นที่ทำการเกษตร น้ำที่จะมีสารเคมีจากปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช ซึ่งใช้ในการเกษตรปะปนมาเป็นจำนวนมาก
            3. น้ำจากการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะมีมูลสัตว์ ปัสสาวะ เศษอาหาร เศษหญ้า เศษฟาง ปะปนมา
            4. น้ำจากแหล่งชุมชน น้ำนี้จะมีน้ำผงซักฟอก น้ำสบู่ เศษอาหาร เศษสิ่งต่างๆ ปะปนไปกับน้ำ
            5. น้ำจากการทำเหมืองแร่ น้ำนี้จะมีตะกอนที่ขุ่นข้นมีแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นอันตรายร้ายแรง เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม
            6. น้ำจากโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า น้ำนี้จะเป็นน้ำระบายความร้อนของเครื่องจักร จะมีอุณหภูมิสูงเมื่อลงสู่แหล่งน้ำจะทำให้แหล่งน้ำ มีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ และพืชที่อยู่ในน้ำ
การแก้ปัญหามลพิษทางน้ำ
            มลพิษทางน้ำมีที่มาจากสาเหตุต่างๆ มากมายหลายเรื่อง ซึ่งถ้าจะแก้ปัญหาก็สามารถทำได้เช่น
            1. การให้ความรู้ที่แท้จริงแก่ผู้ที่ยังไม่รู้ ด้วยวิธีการต่างๆ ตามความเหมาะสม
            2. ควบคุมการทิ้งน้ำจากเครื่องจักรกลที่ต้องผ่านการบำบัดมาก่อน
            3. ควบคุมการทิ้งน้ำจากชุมชนที่อยู่อาศัย
            4. ควบคุมการทิ้งน้ำจากโรงพยาบาลที่ต้องผ่านการบำบัดและฆ่าเชื้อแล้ว
            5. เพิ่มปริมาณน้ำลงในแหล่งน้ำเพื่อเจือจางสารมลพิษ
            6. ควบคุมการทิ้งน้ำจากภาคการเกษตรก่อนจะลงสู่แหล่งน้ำด้วยการตรวจสอบสิ่งที่เป็นพิษต่างๆ ให้ถูกต้อง
            7. จัดทำบ่อกักเก็บน้ำเสียจากแหล่งต่างๆ
ผลกระทบต่อมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำ
            การใช้น้ำเพื่อการบริโภคและอุปโภคของมนุษย์ มีตัวแปรสำคัญที่อาจก่อให้เกิดปัญหา อันตราย ความเดือดร้อนแก่มนุษย์ได้หลายประการ ตัวอย่างเช่น ปริมาณของน้ำไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ ปัญหานี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากฤดูกาลและอุณหภูมิของโลก รวมถึงการกระทำของมนุษย์ที่ทำให้ปริมาณของน้ำมีปริมาณลดลงไม่เพียงพอต่อความต้องการในบางขณะ หรืออาจเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากขึ้น จนคาดกันว่าเราอาจจะไม่มีน้ำใช้ในอนาคต
            การกระทำของมนุษย์และธรรมชาติที่ทำให้ปริมาณน้ำมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่น่าวิตกกังวล เช่น
            1. ปริมาณของน้ำฝนที่น้อยกว่าปกติ
            2. ลักษณะของภูมิประเทศที่เก็บกักน้ำไม่ได้
            3. ดินไม่อุ้มน้ำ น้ำผ่านดินไปได้อย่างรวดเร็ว
            4. พืชที่จะช่วยดูดซับน้ำไม่มี และถูกทำลายทำให้น้ำผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
            5. ขาดการเก็บน้ำไว้ใช้ด้วยภาชนะต่างๆ เมื่อมีน้ำฝนในช่วงฤดูฝน
            6. ไม่ดูแลบำรุงรักษาแหล่งน้ำ แหล่งน้ำสูญเสียความเป็นปกติ เกิดการเน่าเสีย ในที่สุดก็สูญเสียแหล่งน้ำไป
            7. เกิดมลพิษทางน้ำ ซึ่งเป็นผลการปนเปื้อนจากอุตสาหกรรม การเกษตร กิจกรรมการดำรงชีวิตในครอบครัว

ทฤษฎีการกำเนิดจักรวาล

1. ทฤษฎีการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่หรือบิกแบง (big bang rheory) ประมาณ พ.ศ. 2470 อับเบ จอร์จ ลือเมตเทรจ (Abbe Georges Lemaitre) ได้เสนอแนวคิดไว้ว่า จักรวาลมีกำเนิดจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของสสารที่อัดรวมกันแน่น แรงระเบิดทำให้ชิ้นส่วนที่แตกละเอียดเป็นก๊าซร้อนกระเด็นกระจายออกจากจุดระเบิดไปทุกทิศทาง ต่อมาเมื่อก๊าซเหล่านี้เย็นตัวลงได้เกาะรวมกัน เกิดเป็นกาแล็กซีและสิ่งอื่นๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของจักรวาลในปัจจุบัน การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ดังกล่าวนี้คาดว่าเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 15,000-20,000 ล้านปีมาแล้ว
2. ทฤษฎีสภาวะคงที่ (steady state theory) ประมาณ พ.ศ. 2491 เฟรด ฮอยล์ (Fred Hoyle) เฮอร์แมนน์ บอนได (Hermann Bondi) และทอมัส โกลด์ (Thomas Gold) ได้เสนอแนวคิดไว้ว่า จักรวาลไม่มีจุดกำเนิดและจะไม่มีวาระสุดท้าย จักรวาลมีสภาพดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมานานแล้ว และจะมีสภาพเช่นนี้ตลอดไปชั่วกาลนาน
ปัจจุบันพบหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบงมากกว่าทฤษฎีสภาวะคงที่

ดาว

นักดาราศาสตร์ได้แบ่งดวงดาวบนท้องฟ้าออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ดาวฤกษ์ (fix star) คือดาวที่มีความร้อนและแสงสว่างในตัวเอง เช่น ดาวเหนือ ดาวซิริอุส
เมื่อมองดูท้องฟ้าในเวลากลางคืนจะเห็นดาวฤกษ์มากมาย ดาวฤกษ์เหล่านั้นอยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือก มีอยู่ประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นห้าพันล้านดวง ในคืนเดือนมืดจะมองเห็นเป็นทางสีขาวพาดจากขอบฟ้าด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง มีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ เรียกแถบสีขาวนี้ว่า ทางช้างเผือก (Milky Way)
2. ดาวเคราะห์ (planet) คือดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แสงของดาวเคราะห์เกิดจากแสงที่สะท้อนจากดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์มาอีกทีหนึ่ง
ถ้าเราเห็นดาวดวงหนึ่งบนท้องฟ้า และเมื่อตรวจสอบกับแผนที่ดาวแล้วไม่มีในแผนที่ดาว สันนิษฐานได้ว่า อาจเป็นดาวเคราะห์ แต่เราจะต้องดูลักษณะอื่นๆ ด้วย ถ้าเป็นดาวเคราะห์จริงจะต้องมีความสว่างคงที่ แสงไม่กะพริบระยิบระยับแบบดาวฤกษ์ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ดาวเคราะห์ปรากฏอยู่ใกล้ๆ กับขอบฟ้าก็อาจจะกะพริบได้เหมือนกันเนื่องจากแสงที่ตกกระทบและสะท้อนออกจากดาวเคราะห์ต้องผ่านชั้นบรรยากาศที่หนากว่าตอนที่ดาวเคราะห์อยู่ใกล้กลางศีรษะ ระนาบวงโคจรของดาวเคราะห์แต่ละดวงจะเรียงกันเป็นระนาบใกล้เคียงกัน มีวงโคจรเอียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเรามองท้องฟ้าจากโลก เราจะเห็นดาวเคราะห์ปรากฏเรียงกันเป็นแนวกว้างๆ หรือที่เรียกว่า แถบจักรราศี

สรุป

ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์สามารถสังเกตได้ดังนี้
            - ดาวฤกษ์มีการกะพริบแสง เพราะดาวฤกษ์อยู่ไกลจากโลกมาก เมื่อแสงเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศจึงเกิดการหักเห ทำให้เรามองเห็นแสงกะพริบ
            - ดาวเคราะห์จะมีแสงสว่างนวลนิ่งไม่กะพริบ

สภาพชีวิตในอวกาศ

            ยานอวกาศที่ขึ้นไปโคจรรอบโลกหรือออกไปสู่อวกาศได้จะมีสภาพชีวิตในอวกาศที่แตกต่างจากโลกอย่างสิ้นเชิง โดยมีสภาพที่แตกต่างกันดังนี้
            - สภาพไร้น้ำหนัก วัตถุที่อยู่บนพื้นโลกกับวัตถุเมื่ออยู่สูงจากพื้นโลก แรงโน้มถ่วงของโลกจะกระทำกับวัตถุทั้ง 2 กรณีไม่เท่ากัน วัตถุยิ่งสูงจากพื้นโลกแรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อวัตถุยิ่งมีน้อยลง แสดงว่าน้ำหนักของวัตถุมีค่าน้อยกว่าเมื่ออยู่บนพื้นโลก ดังนั้นถ้าวัตถุอยู่ห่างจากโลกเป็นระยะไกลมากๆ จนกระทั่งแรงโน้มถ่วงของโลกส่งไปไม่ถึง จะทำให้วัตถุไม่มีน้ำหนัก จึงกล่าวได้ว่า "วัตถุอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก"
การที่นักบินอวกาศอยู่ในสภาพเสมือนไร้น้ำหนักเป็นระยะเวลานาน มีผลทำให้กล้ามเนื้อออกแรงน้อยกว่าปกติ และนอกจากนั้นของเหลวในร่างกายจะเคลื่อนตัวจากร่างกายส่วนล่างมายังร่างกายส่วนบนอีกด้วย ดังนั้น นักบินอวกาศจึงต้องออกกำลังกายเสมอเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ไม่เกิดอาการกล้ามเนื้อลีบ และนอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบสูบฉีดโลหิตทำงานได้ตามปกติ
            - สภาพความดันและอุณหภูมิ มนุษย์อวกาศนอกจากจะต้องเผชิญกับสภาพเสมือนไร้น้ำหนักในยานอวกาศแล้ว ยังต้องเผชิญกับสภาพต่างๆ อีกหลายประการในขณะออกปฏิบัติงานนอกยานอวกาศ
รูปแสดงชุดนักบินอวกาศ
ตามปกติความดันโลหิตภายในร่างกายของคนเรานั้นถูกปรับให้สมดุลกับความดันปกติของอากาศบนพื้นโลก แต่ถ้าความดันอากาศเปลี่ยนไปมากจนร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะเกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น ที่ระดับความสูงประมาณ 800 กิโลเมตรจากพื้นผิวโลก เป็นบริเวณที่อากาศเบาบางมาก ความดันอากาศจึงต่ำ ความดันโลหิตในร่างกายจึงมีค่ามากกว่าความดันอากาศบริเวณนั้น ซึ่งอาจจะทำให้เส้นโลหิตแตกถึงแก่ความตายได้ ดังนั้นจึงมีวิธีป้องกันให้นักบินอวกาศปลอดภัยจากสภาพนี้ วิธีการหนึ่งก็คือการสวมชุดอวกาศซึ่งสร้างและออกแบบให้ปรับสภาพความดันได้ และนอกจากนี้ยังช่วยป้องกันพลังงานความร้อนและรังสีต่างๆ จากดวงอาทิตย์ รวมทั้งสภาพอื่นๆ ที่จะเป็นอันตรายต่อนักบินอวกาศ

ภาวะแวดล้อมทั่วไป

            ภาวะแวดล้อมที่นักบินอวกาศจะต้องประสบในการปฏิบัติงาน การรับประทานอาหาร การดื่มน้ำ การขับถ่าย การอาบน้ำ และการนอน
            - การปฏิบัติงาน นักบินอวกาศจะล่องลอยอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักจึงจำเป็นต้องมีสิ่งจับยึดไว้ หรือมีเข็มขัดรัดไว้
            - การรับประทานอาหาร อาหารที่รับประทานจะเป็นอาหารสำเร็จรูปที่บรรจุอยู่ในหลอดคล้ายหลอดยาสีฟัน แต่ในปัจจุบันได้มีการนำอาหารสำเร็จมาบรรจุในถุงพลาสติกด้วยระบบสุญญากาศ โดยขณะรับประทานต้องบังคับให้อาหารอยู่ในภาชนะและต้องวางภาชนะบนแถบแม่เหล็ก
            - การดื่มน้ำ น้ำที่ดื่มต้องบรรจุลงในหลอดแล้วฉีดเข้าปาก
            - การขับถ่าย ส้วมต้องมีมือเกาะและมีเข็มขัดรัดไว้ให้ผู้ใช้นั่งติดกับที่รองรับของเสีย สิ่งที่ขับถ่ายต้องมีเครื่องดูดเก็บไว้
            - การอาบน้ำ นักบินอวกาศจะฉีดน้ำใส่ตัวให้ทั่วแล้วมีผู้ช่วยอีกคนถือเครื่องคอยดูดน้ำที่ออกมา
            - การนอน ต้องนอนในถุงนอนที่ห้อยติดอยู่กับที่แล้วรูดซิบปิดตั้งแต่เท้าถึงหน้าอก แล้วเอาแขนสอดไว้ในสายรัดที่พันรอบเอวเพื่อไม่ให้แขนแกว่งไปมาเมื่อหลับ

ดวงดาวในท้องฟ้า

            จากการสังเกตดาวเคราะห์จะพบว่าดาวเคราะห์ที่เห็นด้วยตาเปล่าจะสว่างกว่าดาวฤกษ์ เนื่องจากอยู่ใกล้โลกมากกว่า และมีการเคลื่อนที่เห็นได้ชัดเจนกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับดาวฤกษ์ ในการสังเกตดาวในแต่ละคืนจะพบว่าดาวมีการเคลื่อนที่จากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากโลกหมุนจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ในการบอกตำแหน่งของดาวอาจบอกเวลาขึ้นของดาว คือขณะที่ดาวเสมือนว่ากำลังโผล่พ้นขอบฟ้าทิศตะวันออก เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองทำให้ดาวปรากฏเสมือนว่าเคลื่อนที่ไปบนท้องฟ้า ดังนั้นตำแหน่งของดาวจึงมีความสัมพันธ์กับเวลาที่ทำการสังเกตและตำแหน่งที่สังเกต ในการบอกตำแหน่งของดวงดาวขั้นพื้นฐานเราใช้ระบบเส้นขอบฟ้า คือบอกตำแหน่งด้วยค่า 2 ค่าคือ มุมทิศและมุมเงย
รูปแสดงค่ามุมทิศและมุมเงย
+ มุมทิศ (azimuth) เป็นมุมในแนวราบขนานกับเส้นขอบฟ้า นับจากทิศเหนือในทิศทางตามเข็มนาฬิกาไปยังทิศตะวัน-ออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และกลับมายังทิศเหนืออีกครั้ง มีค่า 0-360 องศา
+ มุมเงย (altitude) เป็นมุมในแนวตั้งหรือมุมที่มองขึ้นสูงจากขอบฟ้า นับจากเส้นขอบฟ้าขึ้นไปสู่จุดเหนือศีรษะ มีค่า 0-90 องศา
จุดเหนือศีรษะ (zenith) คือจุดสูงสุดบนขอบฟ้า จะอยู่ตรงศีรษะพอดี จุดเหนือศีรษะจะทำมุมกับผู้สังเกตและขอบฟ้าทุกๆ ด้านเป็นมุมฉากพอดี
ในการสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้า ผู้สังเกตอาจมีจินตนาการแตกต่างกันไป นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเห็นควรว่าจะแบ่งท้องฟ้าเป็น 88 เขต แต่ละเขตประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนหนึ่ง และเรียกว่า กลุ่มดาว กลุ่มดาวที่ใช้ในการบอกทิศและฤดูกาลที่รู้จักกันดี ได้แก่ กลุ่มดาวจระเข้ กลุ่มดาวค้างคาว กลุ่มดาวเต่า และกลุ่มดาวจักรราศี

กลุ่มดาวจระเข้

รูปแสดงกลุ่มดาวจระเข้กำลังขึ้นใกล้จุดทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
            การดูดาวบนท้องฟ้า ถ้าใช้แผนที่ดาวประกอบการดูดาวจะทำให้หาตำแหน่งดาวต่างๆ ได้ง่ายขึ้น กลุ่มดาวจระเข้จะสังเกตเห็นง่ายในช่วงฤดูหนาว คือประมาณช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ช่วงหัวค่ำจะเห็นกลุ่มดาวจระเข้ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กลุ่มดาวจระเข้ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 7 ดวง ชาวจีนเห็นเป็นรูปกระบวยตักน้ำ ชาวกรีกโบราณเห็นเป็นหมีใหญ่ ส่วนคนไทยเห็นเป็นจระเข้ คือดาว 4 ดวงแรกเป็นลำตัวจระเข้ อีกที่เหลือ 3 ดวงเป็นหางจระเข้
ขณะที่ดาวจระเข้ขึ้นจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกจะเห็นส่วนลำตัวก่อน คือดาว 1, 2, 3 และ 4 แล้วจึงเห็นส่วนหางคือดาว 5, 6 และ 7 ถ้าลากเส้นตรงจากดาวดวงที่ 2 ไปยังดาวดวงที่ 1 และต่อเลยออกไปประมาณ 5 เท่าครึ่งของระยะระหว่างดาวดวงที่ 1 และ 2 จะพบดาวเหนือเสมอ จึงใช้กลุ่มดาวนี้หาทิศเหนือ-ใต้ได้

กลุ่มดาวค้างคาว

รูปแสดงกลุ่มดาวค้างคาวอยู่ทางทิศเหนือขณะอยู่สูงสุดบนฟ้า โดยอยู่สูงเป็นมุมเงยประมาณ 45 องศา
            ท้องฟ้าด้านทิศเหนือมีกลุ่มดาวที่น่าสนใจ ประกอบด้วยดาว 5 ดวงที่คนไทยจินตนาการเป็นดาวค้างคาว แต่นักปราชญ์กรีก โบราณจินตนาการเป็นราชินีแคสสิโอเปียในเทพนิยายกรีก ขณะที่เราสังเกตกลุ่มดาวจระเข้ด้านขอบฟ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มดาวค้างคาวจะอยู่บนฟ้าด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นกลุ่มดาวที่สามารถใช้หาทิศเหนือได้เช่นเดียวกัน โดยกลุ่มดาวค้างคาวและกลุ่มดาวจระเข้จะอยู่คนละด้านของดาวเหนือ
รูปแสดงกลุ่มดาวค้างคาวจะเรียงตัวกันเป็นอักษร M

กลุ่มดาวเต่า

รูปแสดงกลุ่มดาวเต่าขณะอยู่สูงสุดบนฟ้าจะอยู่ทางทิศใต้ (มุมเงยระหว่างประมาณ 65 องศา-85 องศา)
            กลุ่มดาวเต่าเป็นกลุ่มดาวที่คนไทยคุ้นเคย ถ้าสังเกตที่ขอบฟ้าทิศตะวันออกช่วงหัวค่ำของฤดูหนาวในเดือนธันวาคม จะพบดาวเต่าประกอบด้วยดาวฤกษ์ที่มองเห็นได้ชัดเจน 7 ดวง โดยมีดาว 4 ดวงเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่ล้อมรอบดาวอีก 3 ดวงที่เรียงกันเป็นเส้นตรงดังรูปข้างต้น
คนไทยจินตนาการดาว 4 ดวงนอกว่าเป็นตำแหน่งขาเต่า 4 ขา ที่ตรงกลางลำตัวมีอีก 3 ดวงเรียงกันเรียกว่า ดาวไถ ส่วนชาวกรีกโบราณจินตนาการดาวทั้ง 7 ดวงเป็นรูปนายพราน โดยดาว 2 ดวงบน (ขณะอยู่สูงสุด) เป็นไหล่ 2 ข้าง ส่วนดาว 3 ดวงที่เรียงกันตรงกลางเป็นเข็มขัดนายพราน และ 2 ดวงล่าง (ขณะอยู่สูงสุด) เป็นตำแหน่งของขา 2 ข้าง
รูปแสดงกลุ่มดาวเต่าหรือกลุ่มดาวนายพราน

กลุ่มดาวจักรราศี

กลุ่มดาวนี้มีประโยชน์เพื่อหาทิศ และนอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในด้านการหาดาวเคราะห์อีกด้วย กลุ่มดาวจักรราศีจะอยู่บนเส้นสุริยวิถี มีอยู่ 12 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มดาวมีน (ปลา) เมษ (แกะ) พฤษภา (วัว) มิถุน (คนคู่) กรกฎ (ปู) สิงห์ (สิงโต) กันย์ (หญิงพรหมจารีย์) ตุล (คันชั่ง) พฤศจิก (แมงป่อง) ธนู (คนยิงธนู) มกร (แพะทะเล) และกุมภ์ (คนแบกหม้อน้ำ)
รูปภาพกลุ่มดาวจักรราศี
            โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์จากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก คนที่อาศัยบนโลกจึงเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวจักร-ราศีจากตะวันตกไปตะวันออกได้เป็นระยะทางเชิงมุมประมาณ 1 องศาใน 1 วัน ดังนั้นในระยะเวลาประมาณ 1 เดือนจะสังเกตเห็นว่า ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวจักรราศี 1 กลุ่ม
กลุ่มดาวจักรราศีเป็นกลุ่มดาวฤกษ์จำนวน 12 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มดาวมีน (ปลา : pisces) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าประมาณ 06.00 น. ในเดือนมีนาคม กลุ่มดาวนี้จินตนาการว่ามีรูปร่างคล้ายปลา 2 ตัว ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 15 ดวง เราจะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม-18 เมษายน
รูปแสดงกลุ่มดาวมีน
2. กลุ่มดาวเมษ (แกะ : aries) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนเมษายน กลุ่มดาวนี้อยู่ถัดจากกลุ่มดาวปลาไปทางทิศตะวันออก เราจะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 19 เมษายน-13 พฤษภาคม ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อยจำนวน 4 ดวง
รูปแสดงกลุ่มดาวเมษ
3. กลุ่มดาวพฤษภ (วัว : taurus) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนพฤษภาคม เราจะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม-19 มิถุนายน ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 9 ดวง ดาวที่เห็นชัดในกลุ่มดาวนี้คือ ดาวตาวัว ต่ำกว่าดาวตาวัวคือกระจุกดาวลูกไก่ซึ่งอยู่ในตำแหน่งของโหนกวัว
รูปแสดงกลุ่มดาวพฤษภ
4. กลุ่มดาวมิถุน (คนคู่ : gemini) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนมิถุนายน อยู่ถัดจากกลุ่มดาววัวไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 8 ดวงเรียงกันเป็นรูปคนคู่หรือฝาแฝด เราจะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน-20 กรกฎาคม
รูปแสดงกลุ่มดาวมิถุน
5. กลุ่มดาวกรกฏ (ปู : cancer) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนกรกฎาคม อยู่ถัดจากกลุ่มดาวคนคู่ไปทางทิศตะวันออก เราจะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม-9 สิงหาคม ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 5 ดวง
รูปแสดงกลุ่มดาวกรกฏ
6. กลุ่มดาวสิงห์ (สิงโต : leo) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนสิงหาคม ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 9 ดวง ดาวที่สว่างที่สุดคือดาวหัวใจสิงห์ จะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม-15 กันยายน กลุ่มดาวสิงห์จะขึ้นทางทิศตะวัน-ออกเฉียงเหนือไปทางเหนือเล็กน้อย ทุกคืนวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 3 ดวงจันทร์จะปรากฏเต็มดวงบริเวณหัวใจสิงโตทุกปี จึงเรียกว่า นักขัตฤกษ์
รูปแสดงกลุ่มดาวสิงห์
7. กลุ่มดาวกันย์ (หญิงพรหมจารีย์ : virgo) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ตอนเช้าช่วงเดือนกันยายน ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 11 ดวง ดวงที่สว่างที่สุดอยู่ที่มือซ้ายเห็นได้ชัดเจนในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว คนไทยเรียกแม่โพสพ คนทั่วไปเรียกว่า เทพีแห่งการเกษตร จะมองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 16 กันยายน-30 ตุลาคม
รูปแสดงกลุ่มดาวกันย์
8. กลุ่มดาวตุล (คันชั่ง : libra) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนตุลาคม เป็นกลุ่มดาวที่มีชื่อเป็นสิ่งของเพียงกลุ่มเดียว ประกอบด้วยดาวริบหรี่อย่างน้อย 6 ดวง จะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-22 พฤศจิกายน
รูปแสดงกลุ่มดาวตุล
9. กลุ่มดาวพฤศจิก (แมงป่อง : scorpio) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าของเดือนพฤศจิกายน เป็นกลุ่มดาวที่มีดาวฤกษ์เรียงตัวกันอย่างน้อย 15 ดวง จะปรากฏทางทิศตะวันออกเฉียงใต้โดยเอาหัวขึ้นก่อน เมื่อขึ้นสูงสุดจะอยู่ทางทิศใต้ และตกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยเอาหัวและข้างลงก่อน จะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน- 17 ธันวาคม
รูปแสดงกลุ่มดาวพฤศจิก
10. กลุ่มดาวธนู (คนยิงธนู : sagittarius) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนธันวาคม ประกอบด้วยดาวฤกษ์เรียงตัวอย่างน้อย 8 ดวง เมื่อขึ้นไปสูงสุดจะอยู่เหนือขอบฟ้าเป็นมุมเงย 45 องศา คนไทยจินตนาการว่าเหมือนกาต้มน้ำ จะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม-18 มกราคม
รูปแสดงกลุ่มดาวธนู
11. กลุ่มดาวมกร (แพะทะเล : capricornus) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนมกราคม ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 9 ดวง จะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 19 มกราคม-15 กุมภาพันธ์
รูปแสดงกลุ่มดาวมกร
12. กลุ่มดาวกุมภ์ (คนแบกหม้อน้ำ : aquarius) กลุ่มดาวนี้ขึ้นพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ในตอนเช้าช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ประกอบด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 13 ดวง จะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์-11 มีนาคม
รูปแสดงกลุ่มดาวกุมภ์

ท้องฟ้ายามค่ำคืน

            มนุษย์ให้ความสนใจท้องฟ้าในยามค่ำคืนมาช้านานแล้ว จึงได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับดวงดาวบนท้องฟ้าเพื่อให้ทราบที่มาของดวงดาวต่างๆ ทั้งศึกษาด้วยตาเปล่าและใช้กล้องโทรทรรศน์ เมื่อความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น มนุษย์จึงใช้ดาวเทียม ยานอวกาศ จรวด และยานขนส่งอวกาศในการศึกษา ทำให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับดวงดาวและปรากฏการณ์บนท้องฟ้ามากยิ่งขึ้น เรื่องที่มนุษย์ศึกษานั้นเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุบนท้องฟ้า และศึกษาถึงอิทธิพลของวัตถุในท้องฟ้าที่มีผลต่อโลก เช่น การเกิดฤดูกาล น้ำขึ้นน้ำลง
            วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับดวงดาวและปรากฏการณ์ต่างๆ ของวัตถุในท้องฟ้า เรียกว่า วิชาดาราศาสตร์ (Astrology) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิชานี้ เรียกว่า นักดาราศาสตร์ ในประเทศไทยมีสมาคมดาราศาสตร์ไทยที่ให้ข้อมูลและศึกษาเกี่ยวกับดวงดาว รวมทั้งปรากฏการณ์ต่างๆ บนท้องฟ้า

วัตถุในท้องฟ้ามีอะไรบ้าง

            เอกภพหรือจักรวาล (universe) เป็นระบบดวงดาวต่างๆ ที่ปรากฏบนท้องฟ้าและอวกาศ วัตถุในท้องฟ้าประกอบด้วยกลุ่มดวงดาวรวมอยู่ประมาณ 1 แสนล้านดาราจักรหรือกาแล็กซี (galaxy)
            ดาราจักรหรือกาแล็กซี คือ กลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ประกอบด้วยดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดาวบริวารของดาวเคราะห์ อุกกาบาต ดาวหาง รวมทั้งฝุ่นละอองและแก๊สต่างๆ ในอวกาศ กาแล็กซีมีหลายกาแล็กซี ซึ่งจะมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไป กาแล็กซีที่โลกเราอยู่เรียกว่า " กาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way galaxy)" ซึ่งจะมีรูปร่างแบบกังหันหรือแบบก้นหอย โดยมีระบบสุริยะอยู่บริเวณส่วนปลายของกังหัน ประกอบด้วยดาวฤกษ์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบางแห่งจะอยู่รวมเป็นกระจุก เช่น กลุ่มดาวลูกไก่ นักดาราศาสตร์ได้ประมาณการว่ามีกาแล็กซีอยู่ประมาณ 1 แสนล้านกาแล็กซีกระจายอยู่ในเอกภพ กาแล็กซีอื่นที่อยู่ใกล้กับกาแล็กซีทางช้างเผือกและมีรูปร่างแบบกังหัน ได้แก่ กาแล็กซีแอนโดรเมดา (Andromeda galaxy) ส่วนกาแล็กซีที่มีรูปร่างไม่แน่นอนที่อยู่ใกล้กาแล็กซีทางช้างเผือก ได้แก่ กาแล็กซีแมกเจนแลนใหญ่ (Magellanic galaxy) อยู่ห่างกันประมาณ 160,000 ปีแสง
รูปแสดงลักษณะของกาแล็กซีทางช้างเผือก
หมายเหตุ 
            - การวัดระยะห่างของดวงดาวใช้หน่วยเป็นปีแสง
            - 1 ปีแสง หมายถึง ระยะทางที่แสงเดินทางเป็นเวลา 1 ปี เท่ากับ 9.5 ล้านล้านกิโลเมตร
            - โดยเฉลี่ยระยะห่างระหว่างดาวฤกษ์แต่ละดวงประมาณ 4 ปีแสง
            เนบิวลา (nebula) เป็นกลุ่มแก๊สและฝุ่นละอองที่อยู่รวมกันค่อนข้างหนาแน่นในอวกาศ และไม่มีแสงสว่างในตัวเอง เนบิวลาแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
            1. เนบิวลาสว่าง สว่างเพราะได้รับแสงจากดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ มี 2 ลักษณะ คือ
                 - เนบิวลาสว่างจากการเรืองแสง เช่น เนบิวลาในกลุ่มดาวนายพราน เนบิวลารูปวงแหวนในกลุ่มดาวพิณ เนบิวลารูปปูในกลุ่มดาววัว เป็นต้น
                 - เนบิวลาสว่างจากการสะท้อนของแสง เช่น เนบิวลาในกระจุกดาวลูกไก่
            2. เนบิวลามืด เกิดจากการที่แก๊สและฝุ่นละอองในเนบิวลานั้นดูดแสงสว่างจากดาวฤกษ์เอาไว้ เช่น เนบิวลารูปหัวม้า

ดาราจักร

            เอกภพประกอบด้วยกลุ่มแก๊สและดาวฤกษ์จำนวนมากมายที่เกาะกลุ่มกันเป็นกาแล็กซีหรือดาราจักร (galaxy) ระบบของดาวฤกษ์มากมายที่รวมเข้าด้วยกันด้วยแรงโน้มถ่วงมีนับแสนล้านดวงและนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าดาราจักรมี
จำนวนนับแสนล้านดาราจักรเช่นกัน มีเพียงกาแล็กซีเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุด 2-3 กาแล็กซีเท่านั้นที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เช่น ดาราจักรแอนโดรเมดา บางครั้งอาจมองเห็นการระเบิดของดวงดาวที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา ในดาราจักรที่ห่างไกล เพราะว่าเราไม่สามารถมองเห็นดวงดาวแต่ละดวงได้ นักดาราศาสตร์จึงเพียงแต่สังเกตเห็นสมบัติของดวงดาว เช่น รูปร่าง กลุ่มของดวงดาว
แสดงดาราจักรแบบกังหัน
นักดาราศาสตร์ได้แบ่งดาราจักรโดยใช้ลักษณะรูปร่างออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. ดาราจักรแบบก้นหอยหรือกังหัน (spiral galaxies:S) ใช้อักษร S เขียนแทนดาราจักรพวกนี้ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย a, b, c และ d โดยยึดความหนาแน่นของการขดของแกนกังหัน ความชัดเจนของการเห็นแกนกังหัน และขนาดของนิวเคลียสในการจัดประเภท ดาราจักรแบบกังหันมีหลายดาราจักร เช่น ดาราจักรแอนโดรเมดา (M31) เป็นดาราจักรแบบกังหัน อยู่ห่างโลก 2.4 ล้านปีแสง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยจะเห็นเป็นจุดจางๆ ในกลุ่มดาวแอนโดรเมดา (Andromeda) ดาราจักรทางช้างเผือกหรือกาแล็กซีของเรา ซึ่งเป็นดาราจักรที่ระบบสุริยะของเราอยู่
แสดงดาราจักรแบบก้นหอย
2. ดาราจักรแบบกังหันมีแกน (bar-spiral galaxies: Bs) มีลักษณะโดยทั่วๆ ไปแบนคล้ายจานนูน ตรงกลางทั้งสองด้าน หรือเหมือนไข่ดาวสองฟองประกบกัน มีแขนเป็นวงโค้งแผ่ออกมาจากใจกลางดาราจักร คล้ายดาราจักรแบบกังหัน แต่จะมีแถบสว่างหรือมืดคล้ายคานพาดในบริเวณใจกลางของดาราจักรอยู่ด้วย
แสดงดาราจักรแบบกังหันมีแกน
3. ดาราจักรรูปไข่ (eclipse galaxies: E) เป็นดาราจักรที่มีลักษณะความสมดุลทางรูปร่างสูง มีทั้งชนิดที่แบนมาก แบนน้อย กลมมาก หรือค่อนไปทางรี บางชนิดก็มีรูปร่างลักษณะเกือบเป็นทรงกลม ตัวอย่างของดาราจักรรูปกลมรีคือ ดาราจักรขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ๆ กับดาราจักรแอนโดรเมดาสองดาราจักร คือ M32 และ M110
แสดงดาราจักรรูปไข่
4. ดาราจักรแบบไร้รูปร่าง (irregular galaxies) เป็นดาราจักรชนิดไม่มีรูปร่างที่แน่นอน มีลักษณะไม่เป็นระเบียบ ไม่มีรูปร่างเป็นรูปทรงแบบใดเลย จะส่องแสงออกมาเพียงจางๆ มีขนาดเล็ก อาจเรียกว่าเป็นดาราจักรแคระ (dwarf galaxy) บางดาราจักรมีขนาดเล็กมากจนดูคล้ายกระจุกดาว เช่น ดาราจักร แมกเจลแลนใหญ่ (large magellanic clouds galaxy) และดาราจักรแมกเจลแลนเล็ก (small magellanic clouds galaxy)
แสดงดาราจักรแบบไร้รูปร่าง

ดาราจักรทางช้างเผือก

            ดาราจักรทางช้างเผือก (The milky way galaxy) เป็นดาราจักรที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง ความหนาประมาณ 10,000 ปีแสง เป็นอาณาจักรของดวงดาวประมาณ 1 แสนล้าน ดวง มีทั้งดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ เนบิวลา และกระจุกดาวดาราจักรทางช้างเผือกมีบริวารเล็กๆ 2 แห่ง มองเห็น ได้ด้วยตาเปล่าในท้องฟ้าซีกใต้ คล้ายเมฆที่ส่องสว่างเรืองๆ เป็นดาราจักรไม่มีรูปร่างขนาดเล็ก ห่างจากดาราจักรทางช้างเผือกประมาณ 162,500 ปีแสง ได้แก่ ดาราจักรแมกเจลแลนใหญ่และดาราจักรแมกเจลแลนเล็ก
แสดงดาราจักรทางช้างเผือก

การสังเกตทางช้างเผือก

            ในคืนที่ท้องฟ้าแจ่มใส เราจะมองเห็นแถบฝ้า สีขาวคล้ายเมฆพาดยาวข้ามขอบฟ้า คนโบราณเรียกแถบฝ้าสว่างนี้ว่า ทางช้างเผือก หรือ ทางน้ำนม ที่เรียกเช่นนี้เป็นเพราะคนไทยในสมัยโบราณเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็น โอรสของสวรรค์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และมีช้างเผือกเป็นสัตว์คู่บารมี จึงมีความเชื่อว่ามีทางช้างเผือกอยู่บนสวรรค์ แถบทางช้างเผือกที่ปรากฏนั้นเป็นแถบดาวที่เกิดจากการที่มีผู้สังเกตมองเข้าไปใจกลางดาราจักรที่มีดาวอยู่กันอย่างหนาแน่น หากหันออกมาด้านอื่นๆ จะเห็นดาวปรากฏเป็นดวงๆ ได้ชัดเจน

ตำแหน่งของระบบสุริยะในดาราจักร

            ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่อยู่ในดาราจักร ทางช้างเผือก (The milky way) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นดาวฤกษ์มากมาย มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 แสนปีแสง ระบบสุริยะอยู่ห่างจากศูนย์กลางราว 32,600 ปีแสง ดวงอาทิตย์และบริวารโคจรครบรอบดาราจักรในเวลา 225 ล้านปี
แสดงตำแหน่งของระบบสุริยะในดาราจักรทางช้างเผือก

ระบบย่อยอาหาร

ระบบย่อยอาหาร (digestive system)

            เป็นระบบของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง ต้องบริโภคสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นอาหาร เพื่อทำการย่อยอาหารที่มีขนาดใหญ่ให้เล็กลงจนกระทั่งสามารถดูดซึมนำไปใช้สร้างพลังงานในเซลล์ และทำให้ร่างกาย ทั้งหมดมีพลังงานเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ได้
ระบบย่อยอาหารของสัตว์
ระบบย่อยอาหารของสัตว์ที่ควรรู้จัก
1. หนอนตัวกลม
หนอนตัวกลมจะมีระบบย่อยอาหารเป็นท่อตรง มีปาก หลอดอาหาร ลำไส้ และทวารหนัก
2. ไส้เดือนดิน
3. นก
นกจะมีระบบย่อยอาหารที่ประกอบด้วย ปาก กระเพาะพักอาหาร กระเพาะอาหาร กึ๋น (ที่บดอาหาร) ลำไส้ ทวารหนัก
4. วัว
วัวจะมีระบบย่อยอาหารที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น มีปาก หลอดอาหาร ตับ กระเพาะอาหาร มี 4 ส่วน คือ รูเมน เรติคิวลัม โอมาซัม อะโบมาซัม โดยอาหารในส่วนที่ 1 และ 2 ที่ยังไม่ถูกย่อยจะถูกขย้อนออกมาเคี้ยวเอื้องเป็นครั้งคราวเพื่อบดให้ละเอียด แล้วจะถูกกลืนลงสู่กระเพาะส่วนที่ 3 และ 4 ก่อนส่งต่อไปยังลำไส้เล็ก

สารต่างๆ ที่มีในบุหรี่

สารต่างๆ ที่มีใบบุหรี่ ได้แก่
นิโคติน เป็นสารแอลคาลอยด์ โดยนิโคตินจะเข้าไปจับอยู่ในปอดบางส่วนจับอยู่ที่เยื่อหุ้มริมฝีปาก และบางส่วนถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง กระตุ้นต่อมหมวกไต ทำให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว หลอดเลือดรัดตัว
ทาร์ เป็นน้ำมันเหนียวข้น มีสีน้ำตาล เมื่อสูบบุหรี่ ทาร์จะเข้าไปพร้อมกับควันบุหรี่และจับอยู่ที่ปอด ทำให้ระคายเคือง มีอาการไอ ถุงลมในปอดขยายขึ้นและทำให้เป็นมะเร็งได้
คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นก๊าซจากควันบุหรี่ที่ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง รู้สึกอ่อนเพลีย หายใจสั้น เหนื่อยง่าย
ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ก๊าซชนิดนี้จะเข้าไปทำลายเยื่อบุหลอดลมชนิดมีขน ทำให้สิ่งแปลกปลอมผ่านเข้าไปทำลายหลอดลมก่อให้เกิดอาการไอ มีเสมหะและหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นก๊าซที่สามารถทำลายเยื่อหลอดลม ทำให้ถุงลมโป่งพอง
แอมโมเนีย ทำให้หลอดลมอักเสบ
สารกัมมันตภาพรังสี ในควันบุหรี่มีรังสีแอลฟาอยู่ ซึ่งรังสีชนิดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง

สารปนเปื้อนในอาหาร

            อาหารแต่ละชนิดที่เรารับประทานมีรสชาติต่างกัน เกิดจากสารปรุงแต่งรสอาหารที่แตกต่างกัน ส่วนประกอบบางชนิดได้มาจากธรรมชาติ เช่น ความหวานและกลิ่นจากเนื้อสัตว์ พืชผักต่างๆ แต่ก็มีสารปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติบางชนิดที่คนเราสังเคราะห์ขึ้นมาเลียนแบบกลิ่นรสของธรรมชาติ เช่น ผงชูรส น้ำตาล เกลือ น้ำปลา น้ำส้มสายชู สีผสมอาหาร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสารปนเปื้อนในอาหารที่มักจะมีสารเคมีเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ
ผู้ประกอบอาหารมีจุดประสงค์ในการใช้สารปนเปื้อนในอาหารต่างๆ กัน ดังนี้
            1. ใส่สารกันบูด เพื่อป้องกันการเน่าเสีย
            2. แต่งสีให้มีสันสันสวยงาม น่ารับประทาน เป็นการดึงดูดผู้บริโภค เช่น สีผสมอาหาร สีสกัดจากธรรมชาติ
            3. เพื่อแต่งกลิ่นให้หอมชวนรับประทาน เช่น กลิ่นหอมของน้ำนมแมว น้ำกลิ่นกุหลาบ น้ำลอยดอกมะลิ กลิ่นจากการอบเทียนหอม เป็นต้น
            4. เพื่อปรุงรส เช่น รสเปรี้ยวจากมะนาว น้ำส้มสายชู รสเค็มจากเกลือ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว รสหวานจากน้ำตาล ขัณฑสกร
ผงชูรส ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร ผงชูรสมีลักษณะเป็นผลึกสีขาวรูปร่างเป็นแท่งยาวๆ คอดตรงกลางเล็กน้อย ขนาดจะไม่สม่ำเสมอ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ละลายน้ำได้ ผลิตโดยวิธีการหมักแห้งมันสำปะหลังหรือกากน้ำตาลจากอ้อย ถ้ารับประทานมากเกินไปจะเกิดโทษต่อร่างกาย เนื่องจากกรรมวิธีในการผลิตผงชูรสค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน ใช้เวลานาน และมีต้นทุนสูง จึงมีพ่อค้าแม่ค้าที่ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมนำสารสังเคราะห์ที่มีชื่อว่า บอแรกซ์ (borax) ซึ่งมีสีคล้ายผงชูรส แต่มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็กๆ และราคาถูกกว่า มาผสมในผงชูรสแท้เพื่อเพิ่มปริมาณและน้ำหนัก ซึ่งสารบอแรกซ์นี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก โดยปกติมักจะใช้สารบอแรกซ์ในอุตสาหกรรมการเชื่อมทอง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "น้ำประสานทอง"หรือ "ผงกรอบ"
รูปแสดงอาหารที่นิยมใส่สารบอแรกซ์ (ที่มา : www.prc.ac.thb.borax)
โทษของสารบอแรกซ์ต่อร่างกาย มีดังนี้
            1. ทำให้เกิดพิษสะสมในร่างกาย จะมีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ กรวยไตอักเสบ
            2. ถ้าสะสมในร่างกายมากเกินไปอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต เช่น ถ้าเด็กได้รับเกิน 5 กรัม ผู้ใหญ่รับเกิน 15 กรัม จะเสียชีวิตได้
วิธีการตรวจสอบว่าผงชูรสที่ซื้อมาเป็นของแท้หรือของปลอม ดังนี้
            1. สังเกตลักษณะของผงชูรสด้วยตาเปล่าหรือใช้แว่นขยายส่องดู
ลักษณะผลึกของผงชูรสแท้จะเป็นแท่งยาวๆ คอดตรงกลาง ใส ไม่มีสี มีขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ส่วนผงชูรสปลอมจะพบผลึกของบอแรกซ์เจือปนอยู่ ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ไม่ใส
            2. ใส่ผงชูรสในช้อนโลหะแล้วนำไปเผาไฟ สักครู่ผงชูรสจะหลอมละลาย ถ้าเป็นสีน้ำตาลดำแสดงว่าเป็นผงชูรสแท้ ถ้ามีสีขาวหรือสีเทา แสดงว่าเป็นผงชูรสปลอม
            3. ทดสอบด้วยกระดาษขมิ้น โดยนำผงชูรสไปละลายน้ำ จากนั้นนำกระดาษขมิ้นจุ่มลงไปในสารละลายของผงชูรส สังเกตสีของกระดาษขมิ้น ถ้ากระดาษขมิ้นไม่เปลี่ยนสี (สีเหลืองคงเดิม) แสดงว่าเป็นผงชูรสแท้ แต่ถ้ากระดาษขมิ้นเปลี่ยนเป็นสีส้ม สีส้มแดง หรือสีแดง แสดงว่ามีสารบอแรกซ์ปลอมปนอยู่ในผงชูรสนั้น
น้ำส้มสายชู เป็นสารปรุงแต่งรสอาหารเพื่อให้รสเปรี้ยว นิยมนำมาใช้แทนมะนาว น้ำส้มสายชูเป็นสารสังเคราะห์ที่มนุษย์ผลิตขึ้นผ่านกระบวนการหมักจากวัตถุดิบในธรรมชาติ ได้แก่ ข้าวเหนียว น้ำตาล กากน้ำตาล และผลไม้ต่างๆ แต่ในบางครั้งก็มีผู้ผลิตที่เห็นแก่ตัวนำกรดแร่มาเจือจางกับน้ำแล้วบรรจุขวดขาย ซึ่งน้ำกรดเจือจางนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง
รูปแสดงน้ำส้มสายชู (ที่มา : www.ku.ac.th)
วิธีการตรวจสอบน้ำส้มสายชูว่าแท้หรือปลอม มีดังนี้
            1. นำใบผักชีมาแช่ในน้ำส้มสายชูประมาณ 10 นาที ถ้าใบผักชียังคงสดเหมือนเดิมแสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้ แต่ถ้าใบผักชีเปลี่ยนสี เหี่ยว หรือเปื่อยยุ่ย แสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูปลอม
            2. สังเกตพริกดองในน้ำส้มสายชู ถ้าพริกดองเปื่อยยุ่ย น้ำส้มสายชูมีสีขุ่น แสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูปลอม
            3. ใช้สารละลายเจนเชี่ยนไวโอเลตหรือน้ำยาสำหรับป้ายลิ้นเด็กซึ่งมีสีม่วง
โดยหยดน้ำยานี้ลงในน้ำส้มสายชู ถ้ายังคงมีสีม่วงเหมือนเดิมแสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวแสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูปลอม
น้ำส้มสายชูโดยทั่วไปมี 3 ชนิด คือ น้ำส้มสายชูหมัก น้ำส้มสายชูกลั่น และน้ำส้มสายชูเทียม ซึ่ง 2 ชนิดแรกสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย ส่วนชนิดที่ 3 ถ้ารับประทานมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ สีผสมอาหาร มี 2 ประเภท คือ สีจากธรรมชาติและสีสังเคราะห์จากสารเคมี สีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น สีเหลืองจากขมิ้น สีเขียวจากใบเตย สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน สีแดงจากดอกกระเจี๊ยบ เป็นต้น สีธรรมชาติเหล่านี้ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ สำหรับสีสังเคราะห์จากสารเคมีแบ่งเป็นสีผสมอาหาร สีย้อมผ้า หรือสีอื่นที่ไม่ได้ใช้สำหรับประกอบอาหาร สีผสมอาหารต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขจึงจะเป็นปลอดภัยต่อการบริโภค
สีสังเคราะห์ผสมอาหาร
สีย้อมผ้า
รูปแสดงสีสังเคราะห์จากสารเคมี (ที่มา : www.prc.ac.th)             วัตถุประสงค์ของการใช้สีผสมอาหารก็เพื่อให้อาหารมีสีสันสวยงามน่ารับประทาน นักเรียนควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ผสมสีหรือมีสีอ่อน สีสังเคราะห์มักมีสีสดและเข้ม ความจริงสีสันในอาหารไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะดีที่สุด แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้สีผสมอาหารก็ควรใช้สีจากธรรมชาติ แม้ว่าสีสันจะไม่จัดจ้านหรือสดใสเท่ากับสีผสมอาหารจากสารสังเคราะห์ แต่มีความปลอดภัยมากกว่าใช้สีสังเคราะห์ที่ผลิตจากสารเคมี ซึ่งอาจมีสารเจือปนในระหว่างการผลิต สีที่อันตรายที่สุดคือสีย้อมผ้า เพราะสีย้อมผ้ามีสารพิษจำพวกตะกั่ว ถ้ามีตะกั่วสะสมในร่างกายมากจะทำให้ร่างกายมีอาการเฉื่อยชา ซูบซีด มีอาการโลหิตจาง สติปัญญาเสื่อม อาจทำให้เป็นอัมพาต เป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง อาจมีอาการท้องเดิน น้ำหนักลดลง อ่อนเพลีย และอาจเสียชีวิตได้
สีม่วงจากดอกอัญชัญ
สีเขียวจากใบเตย
สีดำจากเปลือกมะพร้าว
สีชมพูจากปูน
รูปแสดงสีผสมอาหารจากธรรมชาติ
สารกันบูด คือสารเคมีชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันหรือทำลายเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารไม่ให้เจริญเติบโต ทำให้อาหารไม่เน่าเสีย เก็บไว้ได้นาน แต่ต้องใช้ในปริมาณที่กำหนด ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารกันบูด โดยเลือกถนอมอาหารแบบธรรมชาติ เช่น การดอง การแช่อิ่ม การเชื่อม หรือการอบแห้ง ในปัจจุบันมีอาหารมากมายหลายชนิดที่สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสีย เช่น หมูยอ แหนม น้ำพริกแกง นักเรียนเคยสงสัยหรือไม่ว่าอาหารเหล่านี้ ทำไมจึงสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสีย ให้สังเกตที่ฉลากติดกับบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุอาหารเหล่านี้จะพบคำว่าโซเดียมเบนโซเอทหรือโซเดียมไนไตรต์เป็นส่วนผสม ซึ่งชื่อเหล่านี้เป็นชื่อทางเคมีของสารกันบูดนั่นเอง
รูปแสดงอาหารที่นิยมใส่สารกันบูด
            ถึงแม้ว่าสารกันบูดเป็นสารเคมีที่ทางราชการอนุญาตให้ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารได้ และมีกฎหมายควบคุมการใช้ว่าใช้ได้กับอาหารชนิดใด และใช้ในปริมาณเท่าไรผู้บริโภคจึงจะไม่เป็นอันตราย แต่ก็มักปรากฏว่ามีผู้ประกอบการไม่น้อยที่ใส่สารกันบูดในอาหารสำเร็จรูปมากเกินจากที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
            ดังนั้นในการเลือกซื้ออาหารจึงควรสังเกตและอ่านฉลากที่ระบุปริมาณการใช้ว่าเกินจากที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่บริโภคอาหารสำเร็จรูปที่ใส่สารกันบูดก็จะดีกว่า โดยเลือกซื้ออาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ เพราะว่าไม่เพียงแต่ปลอดภัยแล้วยังจะได้คุณค่าของอาหารมากกว่าด้วย