วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558
การละลายของสารนอกจากขึ้นกับชนิดของสารแล้วยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ เช่นการละลายของโซเดียมคลอไรด์ โซเดียมในเตรต และโพแทสเซียมในเตรต เมื่ออุณหภูมิสูงขี้นสถานะการละลายก็จะสูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นแสดงว่าการละลายของสารละลายแต่ละชนิดในตัวทำละลายมีสภาพการละลายได้ที่แตกต่างกัน และอุณหภูมิเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สภาพการละลายได้ของสารเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากสารละลายที่ตัวละลายเป็นของแข็งและของเหลว ยังมีสารละลายที่เป็นแก๊ส น้ำอัดลมเป็นสารละลายที่มีตัวทำละลายและมีน้ำตาลกับคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวละลาย เมื่อสังเกตน้ำอัดลมในขวดที่ปิดสนิทจะมองเป็นเป็นเนื้อเดียว แต่ถ้าเขย่าขวดหรือเปิดฝาขวดจะเห็นฟองแก๊สลอยขึ้นจากของเหลวอย่างรวดเร็ว
แก๊สในน้ำอัดลมละลายอยู่ในน้ำภายใต้แรงดันสูง เมื่อเปิดฝาขวด อากาศที่อยู่บริเวณผิวหน้าของน้ำอักลมจะเคลื่อนที่ออกจากขวด ทำให้ความดันเหนือผิวหน้าของของเหลวลดลงอย่างรวดเร็ว คาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในน้ำอัดลมจะแยกออกมาบางส่วน เราจึงเห็นฟองแก๊สลอยขึ้นจากน้ำอัดลม เมื่อเวลาผ่านไป แก๊สจะแยกออกไปจากน้ำอัดลมมากขึ้น
นอกจากสารละลายที่ตัวละลายเป็นของแข็งและของเหลว ยังมีสารละลายที่เป็นแก๊ส น้ำอัดลมเป็นสารละลายที่มีตัวทำละลายและมีน้ำตาลกับคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวละลาย เมื่อสังเกตน้ำอัดลมในขวดที่ปิดสนิทจะมองเป็นเป็นเนื้อเดียว แต่ถ้าเขย่าขวดหรือเปิดฝาขวดจะเห็นฟองแก๊สลอยขึ้นจากของเหลวอย่างรวดเร็ว
แก๊สในน้ำอัดลมละลายอยู่ในน้ำภายใต้แรงดันสูง เมื่อเปิดฝาขวด อากาศที่อยู่บริเวณผิวหน้าของน้ำอักลมจะเคลื่อนที่ออกจากขวด ทำให้ความดันเหนือผิวหน้าของของเหลวลดลงอย่างรวดเร็ว คาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในน้ำอัดลมจะแยกออกมาบางส่วน เราจึงเห็นฟองแก๊สลอยขึ้นจากน้ำอัดลม เมื่อเวลาผ่านไป แก๊สจะแยกออกไปจากน้ำอัดลมมากขึ้น
ความเข้มข้นของสารละลาย
ความเข้มข้นของสารละลาย คือ ปริมาณของสารที่เป็นตัวละลายซึ่งละลายอยู่ในสารละลาย
1. ร้อยละ (percent) แบ่งออกเป็นดังนี้
1) ร้อยละโดยมวล (w/w)บอกถึงมวลของตัวละลายที่ละลายในสารละลาย 100 หน่วยมวล เช่น สารละลายน้ำเชื่อมเข้มข้นร้อยละ 10 โดยมวล คือ ในสารละลายน้ำเชื่อม 100 กรัม ประกอบด้วยน้ำตาล 10 กรัม
2) ร้อยละโดยปริมาตร (v/v)บอกถึงปริมาตรของตัวละลายที่ละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตร เช่น สารละลายเอทานอลเข้มข้นร้อยละ 15 โดยปริมาตร คือ ในสารละลาย เอทานอล 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประกอบด้วยเอทานอล 15 ลูกบาศก์เซนติเมตร
3) ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร (w/v)บอกถึงมวลของตัวละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตร เช่น สารละลายเกลือแกง 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประกอบด้วยเกลือแกง 1 กรัม
2. ส่วนในพันส่วน (part per thousand ; ppt) เป็นหน่วยที่บอกมวลของตัวละลายที่มีปริมาณน้อย ละลายในสารละลาย หรือตัวทำละลาย 1 พันส่วน
3. ส่วนในล้านส่วน (part per million ; ppm) เป็นหน่วยที่บอกมวลของตัวละลายที่มีปริมาณน้อยมาก ละลายในสารละลายหรือตัวทำละลาย 1 ล้านส่วน (106 ส่วน) เช่น ปลาตัวหนึ่งมีปรอทปลอมปนอยู่ 0.2 ppm หมายความว่า ในเนื้อปลา 1 ล้านกรัม จะมีปรอทอยู่ 0.2 กรัม
4. การบอกความเข้มข้น โดยดูจากปริมาณตัวละลายในสารละลาย แบ่งได้เป็นดังนี้
1) สารละลายเข้มข้นคือ สารละลายที่มีปริมาณตัวละลาย ละลายในสารละลายมาก เมื่อเทียบกับตัวทำละลาย
2) สารละลายเจือจาง คือ สารละลายที่มีปริมาณตัวละลาย ละลายในสารละลายน้อย เมื่อเทียบกับตัวทำละลาย
ความเข้มข้นของสารละลาย คือ ปริมาณของสารที่เป็นตัวละลายซึ่งละลายอยู่ในสารละลาย
1. ร้อยละ (percent) แบ่งออกเป็นดังนี้
1) ร้อยละโดยมวล (w/w)บอกถึงมวลของตัวละลายที่ละลายในสารละลาย 100 หน่วยมวล เช่น สารละลายน้ำเชื่อมเข้มข้นร้อยละ 10 โดยมวล คือ ในสารละลายน้ำเชื่อม 100 กรัม ประกอบด้วยน้ำตาล 10 กรัม
2) ร้อยละโดยปริมาตร (v/v)บอกถึงปริมาตรของตัวละลายที่ละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตร เช่น สารละลายเอทานอลเข้มข้นร้อยละ 15 โดยปริมาตร คือ ในสารละลาย เอทานอล 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประกอบด้วยเอทานอล 15 ลูกบาศก์เซนติเมตร
3) ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร (w/v)บอกถึงมวลของตัวละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตร เช่น สารละลายเกลือแกง 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประกอบด้วยเกลือแกง 1 กรัม
2. ส่วนในพันส่วน (part per thousand ; ppt) เป็นหน่วยที่บอกมวลของตัวละลายที่มีปริมาณน้อย ละลายในสารละลาย หรือตัวทำละลาย 1 พันส่วน
3. ส่วนในล้านส่วน (part per million ; ppm) เป็นหน่วยที่บอกมวลของตัวละลายที่มีปริมาณน้อยมาก ละลายในสารละลายหรือตัวทำละลาย 1 ล้านส่วน (106 ส่วน) เช่น ปลาตัวหนึ่งมีปรอทปลอมปนอยู่ 0.2 ppm หมายความว่า ในเนื้อปลา 1 ล้านกรัม จะมีปรอทอยู่ 0.2 กรัม
4. การบอกความเข้มข้น โดยดูจากปริมาณตัวละลายในสารละลาย แบ่งได้เป็นดังนี้
1) สารละลายเข้มข้นคือ สารละลายที่มีปริมาณตัวละลาย ละลายในสารละลายมาก เมื่อเทียบกับตัวทำละลาย
2) สารละลายเจือจาง คือ สารละลายที่มีปริมาณตัวละลาย ละลายในสารละลายน้อย เมื่อเทียบกับตัวทำละลาย
การถ่ายโอนความร้อนมี3ลักษณะ ได้แก่ การนำความร้อน การพาความร้อน และการแพร่รังสี
การนำความร้อน เป็นการถ่ายเทความร้อนผ่านของแข็งจากอนุภาคหนึ่งไปสู่อีกอนุภาคหนึ่งซึ่งอยู่ติดกันไปเรื่อยๆจากอุณหภูมิสูงไปสู่อุณหภูมิต่ำ

วิธีการนำความร้อน
ความร้อนเคลื่อนที่จะที่มีอุณหภูมิสูงไปยังที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า โดยโมเลกุลที่ได้รับความร้อน จะสั่นสะเทือนไปชนกับโมเลกุลที่อยู่ข้างเคียงกันไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างการนำความร้อน
เช่น
1.การจับด้ามช้อนที่จุ่มอยู่ในน้ำร้อนเราจะรู้สึกร้อนที่มือ
2.แผ่นโลหะพื้นเตารีดถ่ายโอนความร้อนจากเตารีดสู่เนื้อผ้า
3.แผ่นหลังคาสังกะสีกลางแดด ร้อนทั้งด้านนอกและด้านใน
การพาความร้อน การถ่ายโอนความร้อนผ่านตัวกลางที่เป็นของเหลวหรือแก๊สส่วนที่ได้รับความร้อนจะเคลื่อนที่พาความร้อนไปด้วย
ตัวอย่างการพาความร้อน
เช่น
1.การพาความร้อนของน้ำ เมื่อน้ำส่วนล่างได้รับความร้อนจากไฟจะมีความหนาแน่นน้อยลงและลอยตัวสูงขึ้น สู่ด้านบน น้ำส่วนบนซึ่งเย็นจะมีความหนาแน่นมากว่าลงมาแทนที่และเมื่อได้รับความร้อนน้ำที่ร้อนก็จะขึ้นสู่ด้านบน

การพาความร้อนของน้ำ
2.การพาความร้อนของอากาศ อากาศมีความหนาแน่นน้อยกว่าจะลอยสูงขึ้น และอากาศเย็นซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่า เคลื่อนที่มาแทน

........การพาความร้อนของอากาศ.......
การแพร่รังสี คือการถ่ายโอนความร้อนโดยไม่ผ่านตัวกลางใดๆ
เช่น ความร้อนจากดวงอาทิตย์ถือเป็นการถ่ายโอนความร้อนโดยการแพร่รังสี

...........การแพร่รังสีจากดวงอาทิตย์..........
การนำความร้อน เป็นการถ่ายเทความร้อนผ่านของแข็งจากอนุภาคหนึ่งไปสู่อีกอนุภาคหนึ่งซึ่งอยู่ติดกันไปเรื่อยๆจากอุณหภูมิสูงไปสู่อุณหภูมิต่ำ

วิธีการนำความร้อน
ความร้อนเคลื่อนที่จะที่มีอุณหภูมิสูงไปยังที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า โดยโมเลกุลที่ได้รับความร้อน จะสั่นสะเทือนไปชนกับโมเลกุลที่อยู่ข้างเคียงกันไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างการนำความร้อน
เช่น
1.การจับด้ามช้อนที่จุ่มอยู่ในน้ำร้อนเราจะรู้สึกร้อนที่มือ
2.แผ่นโลหะพื้นเตารีดถ่ายโอนความร้อนจากเตารีดสู่เนื้อผ้า
3.แผ่นหลังคาสังกะสีกลางแดด ร้อนทั้งด้านนอกและด้านใน
การพาความร้อน การถ่ายโอนความร้อนผ่านตัวกลางที่เป็นของเหลวหรือแก๊สส่วนที่ได้รับความร้อนจะเคลื่อนที่พาความร้อนไปด้วย
ตัวอย่างการพาความร้อน
เช่น
1.การพาความร้อนของน้ำ เมื่อน้ำส่วนล่างได้รับความร้อนจากไฟจะมีความหนาแน่นน้อยลงและลอยตัวสูงขึ้น สู่ด้านบน น้ำส่วนบนซึ่งเย็นจะมีความหนาแน่นมากว่าลงมาแทนที่และเมื่อได้รับความร้อนน้ำที่ร้อนก็จะขึ้นสู่ด้านบน

การพาความร้อนของน้ำ
2.การพาความร้อนของอากาศ อากาศมีความหนาแน่นน้อยกว่าจะลอยสูงขึ้น และอากาศเย็นซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่า เคลื่อนที่มาแทน

........การพาความร้อนของอากาศ.......
การแพร่รังสี คือการถ่ายโอนความร้อนโดยไม่ผ่านตัวกลางใดๆ
เช่น ความร้อนจากดวงอาทิตย์ถือเป็นการถ่ายโอนความร้อนโดยการแพร่รังสี

...........การแพร่รังสีจากดวงอาทิตย์..........
ในแต่ละวันร่างกายของเราจะสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว บางครั้งเรามีความรู้สึกร้อนมากแต่บางครั้งก็มีความรู้สึกเย็น เช่นในฤดูหนาวเรามักจะรู้สึกหนาว ทั้งนี้เพราะความร้อนจากร่างกายของเราถ่ายดอนออกสู่สิ่งแวดล้อม ในทางกลับกัน ในฤดูร้อนเราจะมีความรู้สึกร้อนมาก ทั้งนี้เพราะความร้อนจากสิ่งแวดล้อม ถ่ายโอนเข้าสู่ร่างกายของเรา ความร้อนเป็นพลังงานรูปหนึ่ง ความรู้สึกร้อนและความรู้สึกเย็น จึงเกิดจากการถ่ายโอนความร้อน
ปริมาณความร้อนของสารใดๆจะขึ้นอยู่กับมวลและอุณหภูมิของสารนั้น วัตถุชนิดเดียวกัน มีอุณหภูมิเท่ากัน วัตถุที่มีมวลมากว่าจะมีปริมาณความร้อนมากกว่าวัตถุที่มีมวลน้อยกว่า หน่วยวัดปริมาณความร้อนเรียกว่า แคลอรี่ หรือ จูล
ปริมาณความร้อน1 แคลอรี่ หรือ4.186จูล หมายถึง ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำบริสุทธิ์ มวล 1 กรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส
เครื่องมือสำหรับวัดอุณหภูมิของสารเรียกว่า เทอร์มอมิเตอร์ ซึ่งแบบที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ แบบกระเปราะ แบบดิจิทัล และแบบที่มีหน้าปัด



ปริมาณความร้อนของสารใดๆจะขึ้นอยู่กับมวลและอุณหภูมิของสารนั้น วัตถุชนิดเดียวกัน มีอุณหภูมิเท่ากัน วัตถุที่มีมวลมากว่าจะมีปริมาณความร้อนมากกว่าวัตถุที่มีมวลน้อยกว่า หน่วยวัดปริมาณความร้อนเรียกว่า แคลอรี่ หรือ จูล
ปริมาณความร้อน1 แคลอรี่ หรือ4.186จูล หมายถึง ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำบริสุทธิ์ มวล 1 กรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส
เครื่องมือสำหรับวัดอุณหภูมิของสารเรียกว่า เทอร์มอมิเตอร์ ซึ่งแบบที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ แบบกระเปราะ แบบดิจิทัล และแบบที่มีหน้าปัด



สารละลายมีมากมายหลายชนิด สารละลายที่เป็นของเหลวซึ่งรู้จักกันทั่วไปมักมีน้ำเป็นตัวทำละลาย เช่น การละลายของน้ำตาลทรายในน้ำ เมื่อเติมน้ำตาลลงในน้ำ จะเห็นน้ำตาลทรายแพร่ในน้ำ ถ้าใช้ช้อนคนน้ำตาลทรายจะละลายได้อย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำตาลละลายหมดก็จะเห็นเป็นของเหลวใสเป็นเนื้อเดียวไม่มีตะกอน มีรสหวานเรียกของเหลวนี้ว่า สารละลายน้ำตาลทราย หรือน้ำเชื่อมในสารละลายน้ำตาลทรายแทรกอยู่ในน้ำ จนมองไม่เห็นน้ำตาลทรายอีกต่อไป





สถานะของสาร มี 3 สถานะ
1. ก๊าซ (gas)คือสารที่มีรูปร่างและปริมาตรไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุเพราะมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อยมาก จึงฟุ้งกระจายได้เต็มภาชนะและมีความหนาแน่นต่ำ
2. ของเหลว (liquid)คือ สารที่มีปริมาตรแน่นอน แต่มีรูปร่างไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุ อนุภาคอยู่ใกล้เคียงกันแต่ไม่เป็นระเบียบ มีการชนกันตลอดเวลา จึงมีความหนาแน่นสูงกว่าก๊าซ
3. ของแข็ง (solid)คือ สารที่มีรูปร่างและปริมาตรที่แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงตามภาชนะ อนุภาคชิดกันเป็นระเบียบ มีความหนาแน่นและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลสูงกว่าของเหลวและก๊าซ
สารต่าง ๆ อาจอยู่ในสถานะก๊าซ ของเหลว หรือของแข็งก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของสาร ซึ่งพบว่าที่อุณหภูมิปกติ สารชนิดต่าง ๆ อาจมีสถานะเหมือนกันได้
สารแต่ละชนิดจะมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่างกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของสาร การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร โดยที่
- สารใดมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง (30 องศาเซลเซียส) จะมีสถานะเป็นก๊าซ
- สารใดมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูงกว่าอุณหภูมิห้อง (30 องศาเซลเซียส) จะมีสถานะเป็นของแข็ง
- สารใดมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส แต่จุดเดือดสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส จะมีสถานะเป็นของเหลว

1. ก๊าซ (gas)คือสารที่มีรูปร่างและปริมาตรไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุเพราะมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อยมาก จึงฟุ้งกระจายได้เต็มภาชนะและมีความหนาแน่นต่ำ
2. ของเหลว (liquid)คือ สารที่มีปริมาตรแน่นอน แต่มีรูปร่างไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุ อนุภาคอยู่ใกล้เคียงกันแต่ไม่เป็นระเบียบ มีการชนกันตลอดเวลา จึงมีความหนาแน่นสูงกว่าก๊าซ
3. ของแข็ง (solid)คือ สารที่มีรูปร่างและปริมาตรที่แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงตามภาชนะ อนุภาคชิดกันเป็นระเบียบ มีความหนาแน่นและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลสูงกว่าของเหลวและก๊าซ
สารต่าง ๆ อาจอยู่ในสถานะก๊าซ ของเหลว หรือของแข็งก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของสาร ซึ่งพบว่าที่อุณหภูมิปกติ สารชนิดต่าง ๆ อาจมีสถานะเหมือนกันได้
สารแต่ละชนิดจะมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่างกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของสาร การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร โดยที่
- สารใดมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง (30 องศาเซลเซียส) จะมีสถานะเป็นก๊าซ
- สารใดมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูงกว่าอุณหภูมิห้อง (30 องศาเซลเซียส) จะมีสถานะเป็นของแข็ง
- สารใดมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส แต่จุดเดือดสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส จะมีสถานะเป็นของเหลว

โครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงของพืช
โครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงของพืชประกอบด้วย ระบบเนื้อเยื้อท่อลำเลียง ซึ่งเนื้อเยื้อในระบบนี้จะเชื่อมต่อกันตลอดทั้งลำต้นพืช โดยทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ
สารอนินทรีย์ สารอินทรีย์และสารละลายที่พืชต้องการ นำไปใช้ในการดำรงกิจกรรมต่างๆภายในเซลล์
ระบบเนื้อเยื้อท่อลำเลียงประกอบไปด้วย 2ส่วนใหญ่ๆ คือ ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุกับท่อลำเลียงอาหาร


..........รูปแสดงภาพตัดขวางของลำต้นใบเลี้ยงคู่และใบเลี้ยงเดี่ยว..............
ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ
ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุเป็นเนื้อเยื้อที่ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆทั้งสารอินทรีย์และสรรอนินทรีย์ โดยท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุประกอบด้วยเซลล์ 4ชนิด ดังนี้
1.เทรคีด(Tracheid)เป็นเซลล์เดี่ยวมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาวบริเวณปลายของเซลล์แหลม เทรคีดทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆโดยจะลำเลียงน้ำและแร่ธาตุไปด้านข้างของลำต้นผ่ารูเล็กๆ เทรคีดมีผนังเซลล์ที่แข็งแรงจึงทำหน้าที่เป็นโครงสร้างค้ำจุนลำต้นพืชและผนังเซลล์มีลิกนินสะสมอยู่และมีรูเล็กๆเพื่อทำให้ติดต่อกับเซลล์ข้างเคียงได้ เมื่อเซลล์เจริญเติบโตจนกระทั่งตายไปส่วนของไซโทพลาซึมและนิวเคลียสจะสลายไปด้วย ทำให้ส่วนตรงกลางของเซลล์เป็นช่องว่าง
2.เวสเซล(Vessel) เป็นเซลล์ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แต่สั้นกว่าเทรคีด เป็นเซลล์เดี่ยวๆที่ปลายทั้งสองข้างของเซลล์มีลักษณะคล้ายคมของสิ่วที่บริเวณด้านข้างและปลายของเซลล์มีรูพรุน ส่วนของเวสเซลนี้พบมาก ในพืชชั้นสูงหรือมีดอก ทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆจากรากขึ้นไปยังลำต้นและใบ
3.ไซเล็มพาเรนไคมา มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกหน้าตัดกลมรีหรือหน้าตัดหลายเหลี่ยมมีผนังเซลล์บางๆเรียงตัวกันตามแนวลำต้นพืช เมื่ออายุมากขึ้นผนังเซลล์จะหนาขึ้นด้วยเนื่องจากมีสารลิกนินสะสมอยู่และมีรูเล็กๆเกิดขึ้นด้วยไซเล็มพาเรนไคมาบางส่วนจะรียงตัวกันตามแนวรัศมีของลำต้นพืชเพื่อทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆไปยังบริเวณด้านข้างของลำต้นพืชไซเล็มพาเรนไคมาทำหน้าที่สะสมอาหารประเภทแป้ง ไขมันและสารอินทรีย์อื่นๆ รวมทั้งลำเลียงน้ำและแร่ธาตุไปยังลำต้นและใบของพืช
4.ไซเล็มไฟเบอร์ เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างยาวและสั้นกว่าไฟเบอร์ทั่วๆไป ตามปกติเซลล์มีลักษณะปลายแหลม มีผนังเซลล์หนากว่าไฟเบอร์ทั่วๆไป มีผนังกั้นเป็นห้องๆ ภายในเซลล์ไซเล็มไฟเบอร์ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างค้ำจุนและให้ความแข็งแรงแก่ลำต้นพืช

เนื้อเยื้อที่เป็นส่วนประกอบของท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ
ท่อลำเลียงอาหาร
ท่อลำเลียงอาหารเป็นเนื้อเยื้อที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารและสร้างความแข็งแรงให้แก่ลำต้นโดยท่อลำเลียงอาหารประกอบด้วยเซลล์4ชนิดดังนี้
1.ซีพทิวบ์เมมเบอร์ เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาวเป็นเซลล์ที่มีชีวิต ประกอบด้วยช่องว่างภายในเซลล์ขนาดใหญ่มาก เมื่อเซลล์เจริญเติบโตเต็มที่แล้วส่วนของนิวเคลียสจะสลายไปโดยที่เซลล์ยังมีชีวิตอยู่ผนังเซลล์นี้มีเซลลูโลสสะสมอยู่เล็กน้อยซีพทิวบ์เมมเบอร์ ทำหน้าที่เป็นทางส่งผ่านของอาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
2.คอมพาเนียนเซลล์ เป็นเซลล์พิเศษที่มีต้นกำเนิดจากเซลล์แม่เซลล์เดียวกันกับซีพทิวบ์เมมเบอร์ โดยเซลล์ต้นกำเนิดหนึ่งเซลล์จะแบ่งตัวตามยาวได้สองเซลล์โดยเซลล์หนึ่งมีลักษณะใหญ่อีกเซลล์หนึ่งมีลักษณะเล็กเซลล์ขนาดใหญ่จะเติบโตไปเป็นซีพทิวบ์เมมเบอร์ส่วนเซลล์ขนาดเล็กจะเติบโตไปเป็นคอมพาเนียนเซลล์เป็นเซลล์ขนาดเล็กที่มีรูปร่างผอมยาว มีลักษณะเป็นเหลี่ยมส่วนปลายแหลม เป็นเซลล์ที่มีชีวิตมีไซโทพลาซึมที่มีส่วนประกอบของสารเข้มข้นมาก มีเซลลูโลสสะสมอยู่ที่ผนังเซลล์เ,กน้อยและมีรูเล็กๆเพื่อใช้เชื่อมต่อกับซีพทิวบ์เมมเบอร์
3.โฟลเอ็มพาเรนไคมา เป็นเซลล์ที่มีชีวิตมีผนังเซลล์บางๆ มีรูเล็กๆที่ผนังเซลล์ โฟลเอ็มพาเรนไคมาทำหน้าที่สะสมอาหารได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงลำเลียงอาหารไปยังส่วนต่างๆของพืช และเสริมความแข็งแรงให้กับท่อลำเลียงอาหาร
4.โฟลเอ็มไฟเบอร์ มีลักษณะคล้ายกับไซเล็มไฟเบอร์ มีรูปร่างยาวหน้าตัดกลมรี ทำหน้าที่ส่วนเสรอมสร้างความแข็งแรงให้กับท่อลำเลียงอาหารและทำหน้าที่สะสมอาหารให้แก่พืช

.....เนื้อเยื้อที่เป็นส่วนประกอบของท่อลำเลียงอาหาร.....
โครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงของพืชประกอบด้วย ระบบเนื้อเยื้อท่อลำเลียง ซึ่งเนื้อเยื้อในระบบนี้จะเชื่อมต่อกันตลอดทั้งลำต้นพืช โดยทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ
สารอนินทรีย์ สารอินทรีย์และสารละลายที่พืชต้องการ นำไปใช้ในการดำรงกิจกรรมต่างๆภายในเซลล์
ระบบเนื้อเยื้อท่อลำเลียงประกอบไปด้วย 2ส่วนใหญ่ๆ คือ ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุกับท่อลำเลียงอาหาร
..........รูปแสดงภาพตัดขวางของลำต้นใบเลี้ยงคู่และใบเลี้ยงเดี่ยว..............
ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ
ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุเป็นเนื้อเยื้อที่ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆทั้งสารอินทรีย์และสรรอนินทรีย์ โดยท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุประกอบด้วยเซลล์ 4ชนิด ดังนี้
1.เทรคีด(Tracheid)เป็นเซลล์เดี่ยวมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาวบริเวณปลายของเซลล์แหลม เทรคีดทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆโดยจะลำเลียงน้ำและแร่ธาตุไปด้านข้างของลำต้นผ่ารูเล็กๆ เทรคีดมีผนังเซลล์ที่แข็งแรงจึงทำหน้าที่เป็นโครงสร้างค้ำจุนลำต้นพืชและผนังเซลล์มีลิกนินสะสมอยู่และมีรูเล็กๆเพื่อทำให้ติดต่อกับเซลล์ข้างเคียงได้ เมื่อเซลล์เจริญเติบโตจนกระทั่งตายไปส่วนของไซโทพลาซึมและนิวเคลียสจะสลายไปด้วย ทำให้ส่วนตรงกลางของเซลล์เป็นช่องว่าง
2.เวสเซล(Vessel) เป็นเซลล์ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แต่สั้นกว่าเทรคีด เป็นเซลล์เดี่ยวๆที่ปลายทั้งสองข้างของเซลล์มีลักษณะคล้ายคมของสิ่วที่บริเวณด้านข้างและปลายของเซลล์มีรูพรุน ส่วนของเวสเซลนี้พบมาก ในพืชชั้นสูงหรือมีดอก ทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆจากรากขึ้นไปยังลำต้นและใบ
3.ไซเล็มพาเรนไคมา มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกหน้าตัดกลมรีหรือหน้าตัดหลายเหลี่ยมมีผนังเซลล์บางๆเรียงตัวกันตามแนวลำต้นพืช เมื่ออายุมากขึ้นผนังเซลล์จะหนาขึ้นด้วยเนื่องจากมีสารลิกนินสะสมอยู่และมีรูเล็กๆเกิดขึ้นด้วยไซเล็มพาเรนไคมาบางส่วนจะรียงตัวกันตามแนวรัศมีของลำต้นพืชเพื่อทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆไปยังบริเวณด้านข้างของลำต้นพืชไซเล็มพาเรนไคมาทำหน้าที่สะสมอาหารประเภทแป้ง ไขมันและสารอินทรีย์อื่นๆ รวมทั้งลำเลียงน้ำและแร่ธาตุไปยังลำต้นและใบของพืช
4.ไซเล็มไฟเบอร์ เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างยาวและสั้นกว่าไฟเบอร์ทั่วๆไป ตามปกติเซลล์มีลักษณะปลายแหลม มีผนังเซลล์หนากว่าไฟเบอร์ทั่วๆไป มีผนังกั้นเป็นห้องๆ ภายในเซลล์ไซเล็มไฟเบอร์ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างค้ำจุนและให้ความแข็งแรงแก่ลำต้นพืช
เนื้อเยื้อที่เป็นส่วนประกอบของท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ
ท่อลำเลียงอาหาร
ท่อลำเลียงอาหารเป็นเนื้อเยื้อที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารและสร้างความแข็งแรงให้แก่ลำต้นโดยท่อลำเลียงอาหารประกอบด้วยเซลล์4ชนิดดังนี้
1.ซีพทิวบ์เมมเบอร์ เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาวเป็นเซลล์ที่มีชีวิต ประกอบด้วยช่องว่างภายในเซลล์ขนาดใหญ่มาก เมื่อเซลล์เจริญเติบโตเต็มที่แล้วส่วนของนิวเคลียสจะสลายไปโดยที่เซลล์ยังมีชีวิตอยู่ผนังเซลล์นี้มีเซลลูโลสสะสมอยู่เล็กน้อยซีพทิวบ์เมมเบอร์ ทำหน้าที่เป็นทางส่งผ่านของอาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
2.คอมพาเนียนเซลล์ เป็นเซลล์พิเศษที่มีต้นกำเนิดจากเซลล์แม่เซลล์เดียวกันกับซีพทิวบ์เมมเบอร์ โดยเซลล์ต้นกำเนิดหนึ่งเซลล์จะแบ่งตัวตามยาวได้สองเซลล์โดยเซลล์หนึ่งมีลักษณะใหญ่อีกเซลล์หนึ่งมีลักษณะเล็กเซลล์ขนาดใหญ่จะเติบโตไปเป็นซีพทิวบ์เมมเบอร์ส่วนเซลล์ขนาดเล็กจะเติบโตไปเป็นคอมพาเนียนเซลล์เป็นเซลล์ขนาดเล็กที่มีรูปร่างผอมยาว มีลักษณะเป็นเหลี่ยมส่วนปลายแหลม เป็นเซลล์ที่มีชีวิตมีไซโทพลาซึมที่มีส่วนประกอบของสารเข้มข้นมาก มีเซลลูโลสสะสมอยู่ที่ผนังเซลล์เ,กน้อยและมีรูเล็กๆเพื่อใช้เชื่อมต่อกับซีพทิวบ์เมมเบอร์
3.โฟลเอ็มพาเรนไคมา เป็นเซลล์ที่มีชีวิตมีผนังเซลล์บางๆ มีรูเล็กๆที่ผนังเซลล์ โฟลเอ็มพาเรนไคมาทำหน้าที่สะสมอาหารได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงลำเลียงอาหารไปยังส่วนต่างๆของพืช และเสริมความแข็งแรงให้กับท่อลำเลียงอาหาร
4.โฟลเอ็มไฟเบอร์ มีลักษณะคล้ายกับไซเล็มไฟเบอร์ มีรูปร่างยาวหน้าตัดกลมรี ทำหน้าที่ส่วนเสรอมสร้างความแข็งแรงให้กับท่อลำเลียงอาหารและทำหน้าที่สะสมอาหารให้แก่พืช
.....เนื้อเยื้อที่เป็นส่วนประกอบของท่อลำเลียงอาหาร.....
พืชมีกิจกรรมต่างๆในการดำรงชีวิตเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น เจริญเติบโต สืบพันธุ์ เคลื่อนไหว หายใจ การตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในการดำเนินกิจกรรมเหล่านี้พืชต้องใช้พลังงานที่ได้จากการหายใจ ซึ่งเป็นการเผาผลาญอาหารที่พืชสร้างขึ้นเองด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
ในการสังเคราะห์ด้วยแสงพืชจำเป็นต้องใช้นำเป็นวัตถุดิบในการสร้างอาหาร ซึ่งพืชต้องลำเลียงน้ำจากรากไปยังใบและส่วนต่างๆของพืช หลังจากนั้นพืชก็ลำเลียงอาหารไปยังเนื้อเยื้อทุกส่วนของพืช
ในการสังเคราะห์ด้วยแสงพืชจำเป็นต้องใช้นำเป็นวัตถุดิบในการสร้างอาหาร ซึ่งพืชต้องลำเลียงน้ำจากรากไปยังใบและส่วนต่างๆของพืช หลังจากนั้นพืชก็ลำเลียงอาหารไปยังเนื้อเยื้อทุกส่วนของพืช
สัตว์
เป็นสิ่งทีชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลก และมีมากมายหลายชนิด มีลักษณะที่แตกต่างกัน สิตว์จำแนกเป้นหมวดหมู่ต่าง ๆ ตามลักษณะของกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์
1. สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง คือ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและมีโครงกระดูกภายในลำตัว เช่น สัตว์จำพวก ปลา งู ไก่ กระต่าย สุนัข แมว เป็นต้น
2. สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง คือ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูกภายในลำตัว ได้แก่ สัตว์จำพวกแมลง และสัตว์น้ำทุกชนิดยกเว้น ปลา ได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปะการัง ปลาหมึก เป็นต้น
ปัจจัยในการดำรงชีวิตของสัตว์
สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการอากาศ อาหาร และน้ำเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์
1. อากาศ สัตว์ทุกชนิดต้องการอากาศในการหายใจ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้ามีมีอากาศหายใจ สัตว์ต่าง ๆ ก็จะตาย
สัตว์ที่อาศัยอยู่บนบก เช่น สุนัข แมว วัว ม้า ช้าง เป็ด ไก่ จะหายใจโดยใช้อากาศที่อยู่รอบตัว ส่วนสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ เช่น ปลา กุ้ง หอย จะได้รับออกซิเจนจากอากาศที่อยู่ในน้ำ
2. น้ำ สัตว์ทุกชนิดต้องการน้ำในการดำรงชีวิตด้วย ถ้านักเรียนสังเกตรอบ ๆ บริเวณแหล่งน้ำตามธรรมชาติ จะพบว่า มีสัตว์อาศัยอยู่มากมาย สัตว์ต้องดื่มน้ำเพื่อใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าสัตว์ขาดน้ำเป็นเวลานาน สัตว์ก็จะตาย
3. อาหาร สัตว์ต่าง ๆ ต้องกินอาหาร สัตว์ต้องการอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและดำรงชีวิตต่อไปได้
สัตว์แต่ละชนิดกินอาหารแตกต่างกัน ซึ่งสามารถจำแนกสัตว์ได้ตามลักษณะอาหารที่กินได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. สัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร
สัตว์ประเภทนี้มีมากมายหลายชนิด เช่น ช้างกินพืช ผัก และผลไม้บางชนิดเป็นอาหาร วัว ควาย กระต่าย กินหญ้าเป็นอาหาร กวางกินใบไม้นกบางชนิดกินผลไม้และน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้เป็นอาหาร
2. สัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร
สัตว์บางชนิดล่าสัตว์ชนิดอื่นกินเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ จระเข้ กินเนื้อสัตว์อื่นที่มีขนาดเล็ก กว่าเป็นอาหาร เช่น ม้าลาย กวาง ละมั่ง หมูป่า งูกินสัตว์ขนาดเล็ก เช่น กบ นก หนู กระต่าย จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า กบ เขียด อึ่งอ่าง กินแมลงชนิดต่าง ๆ นกบางชนิดเป็นนกนักล่า เช่น นกอินทรี เหยี่ยว นกฮูก จะกินสัตว์ ที่มีขนาดเล็ก เช่น งู หนู นก กระต่าย ปลา กบ
3. สัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร
สัตว์บางชนิดสามารถกินได้ทั้งพืช และสัตว์เป็นอาหาร เช่น เป็ด ไก่ สุนัข สุกร หมี หนู

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
1. การกินอาหารสิ่งมีชีวิตต้องการอาหารเพื่อสร้างพลังงานและการเจริญเติบโต โดยพืชสามารถสังเคราะห์อาหารขึ้นเองได้ด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งต้องใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เปลี่ยนน้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นน้ำตาล ส่วนสัตว์ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ต้องกินพืชหรือสัตว์อื่นเป็นอาหาร
2.การหายใจกระบวนการหายใจของสิ่งมีชีวิตเป็นวิธีการเปลี่ยนอาหารที่กินเข้าไปเป็นพลังงาน สำหรับใช้ในการเคลื่อนไหว การเจริญเติบโต และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สิ่งมีชีวิตทั่วไปใช้แก๊สออกซิเจนในกระบวนการหายใจ
3. การเคลื่อนไหวขณะที่พืชเจริญเติบโต พืชจะมีการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เช่น รากเคลื่อนลงสู่พื้นดินด้านล่าง หรือส่วนยอดของต้นที่จะเคลื่อนขึ้นหาแสงด้านบน สัตว์จะสามารถเคลื่อนไหวได้ทั้งตัวไม่ใช่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย สัตว์จึงเคลื่อนที่ไปหาอาหารหรือหลบหนีจากการถูกล่าได้
4. การเจริญเติบโตสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเติบโตได้ พืชเติบโตได้ตลอดชีวิต ส่วนสัตว์หยุดการเจริญเติบโตเมื่อเจริญเติบโตจนมีขนาดถึงระดับหนึ่ง สิ่งมีชีวิตบางชนิดขณะเจริญเติบโตไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง แต่บางชนิดขณะเจริญเติบโตมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
5. การขับถ่ายเป็นการกำจัดของเสียที่สิ่งมีชีวิตนั้นไม่ต้องการออกจากร่างกาย พืชจะขับของเสียออกมาทางปากใบ สัตว์จะขับของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และปะปนออกมากับลมหายใจ
6. การตอบสนองต่อสิ่งเร้าสิ่งมีชีวิตมีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด เช่น พืชจะหันใบเข้าหาแสง สัตว์มีอวัยวะรับความรู้สึกที่แตกต่างกันหลายชนิด
7. การสืบพันธุ์เป็นกระบวนการเพิ่มจำนวนของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันเพื่อดำรงรักษาเผ่าพันธุ์ไว้ ถ้าสิ่งมีชีวิตไม่สืบพันธุ์ก็จะสูญพันธุ์
ร่างกายของสิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานร่วมกันของระบบอวัยวะต่างๆ หลายระบบ อวัยวะต่างๆ ล้วนประกอบจากกลุ่มเนื้อเยื่อที่ทำงานร่วมกัน เนื้อเยื่อแต่ละชนิดประกอบไปด้วยกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกันที่ทำงานอย่างเดียวกัน